วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

ปรับแต่ง Grok ให้เป็นผู้ช่วยในแบบของคุณ

 

ปรับแต่ง Grok ให้เป็นผู้ช่วยในแบบของคุณ: คู่มือการตั้งค่าและการใช้พรอมต์

Grok ผู้ช่วย AI จาก xAI เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังและยืดหยุ่น สามารถปรับแต่งให้ตอบสนองตามสไตล์และความต้องการของคุณได้ผ่านฟีเจอร์ Customize Grok's Response และ Data Controls ในบทความนี้ ฉันจะพาคุณไปสำรวจวิธีการตั้งค่าเหล่านี้ รวมถึงการใช้พรอมต์เพื่อกำหนดบุคลิกให้ Grok และวิธีแก้ปัญหาเมื่อพรอมต์อาจไม่ทำงานตามที่คาดหวัง โดยอิงจากประสบการณ์การสอบถามและการปรับแต่งจริง

การเริ่มต้น: สอบถามเกี่ยวกับการตั้งค่า Grok

เมื่อเริ่มใช้งาน Grok ฉันสงสัยว่าเราจะปรับแต่งการตอบสนองของมันได้อย่างไร โดยเฉพาะในส่วน Settings ซึ่งมีตัวเลือกที่น่าสนใจอย่าง Customize Grok's Response และ Data Controls ฉันจึงถาม Grok ว่า:

"อธิบายหัวข้อ Setting ในส่วน Customize Grok's Response และ Data Controls อย่างละเอียด เพื่อให้ฉันเข้าใจได้ง่าย"

Grok อธิบายว่า Customize Grok's Response ช่วยให้ฉันกำหนดโทน ความยาว และบุคลิกของคำตอบได้ เช่น อยากให้ Grok ตอบแบบเป็นทางการ สั้นกระชับ หรือแม้แต่เหมือนตัวละครในนิยาย ส่วน Data Controls ช่วยจัดการความเป็นส่วนตัว เช่น การเลือกว่าจะให้ Grok ใช้ข้อมูลการสนทนาเพื่อฝึกโมเดลหรือไม่ และการลบหน่วยความจำ (Memory) ที่เก็บข้อมูลการสนทนาเก่า

จากคำตอบ ฉันพบว่า Customize Grok's Response มีตัวเลือกที่น่าสนใจ เช่น Custom, Concise, Formal, และ Socratic ซึ่งแต่ละตัวเลือกมีลักษณะเฉพาะ:

  • Custom: ตัวเลือกนี้ให้อิสระในการกำหนดสไตล์ เช่น ระบุให้ Grok ตอบเหมือนเพื่อนสนิทหรือนักวิทยาศาสตร์
  • Concise: เหมาะสำหรับคำตอบสั้นและตรงประเด็น เช่น การถามคำจำกัดความหรือสูตร
  • Formal: ใช้ภาษาวิชาการและสุภาพ เหมาะกับงานเขียนรายงานหรือคำถามเชิงวิชาการ
  • Socratic: ใช้การถามกลับเพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้คิดวิเคราะห์ เหมาะสำหรับการเรียนรู้เชิงลึก

นอกจากนี้ Grok ยังยืนยันว่าในโหมด Custom ฉันสามารถตั้งชื่อให้ AI และกำหนดบุคลิกได้ เช่น “ตอบเหมือนพ่อมด” หรือ “เรียกตัวเองว่า ดร. สมาร์ท” ทำให้การสนทนาน่าสนุกและเป็นส่วนตัวมากขึ้น

การตั้งค่าใน Customize Grok's Response

เพื่อให้เข้าใจตัวเลือกแต่ละอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ฉันถาม Grok ต่อว่า:

"ในส่วน Customize Grok's Response ฉันเห็น Custom, Concise, Formal, Socratic ช่วยอธิบาย และในโหมด Custom ฉันสามารถระบุบุคลิกและตั้งชื่อให้ Grok ได้หรือไม่ พร้อมตัวอย่างการปรับแต่ง 2-3 แบบ"

Grok อธิบายว่า:

  • Custom: ช่วยให้กำหนดโทน ความยาว และบุคลิกได้อย่างอิสระผ่าน Custom Instructions (จำกัด 1,500 ตัวอักษร) และสามารถตั้งชื่อให้ Grok ได้ เช่น “ตอบเหมือนเพื่อนรู้ใจและเรียกตัวเองว่า เจ เทคกี้”
  • Concise: ให้คำตอบสั้น เช่น “ความเร็วแสงคือ 299,792,458 เมตรต่อวินาที” โดยไม่ต้องอธิบายยาว
  • Formal: ใช้ภาษาที่เป็นทางการ เช่น อธิบายทฤษฎีสัมพัทธภาพด้วยโครงสร้างและศัพท์วิชาการ
  • Socratic: ตอบด้วยคำถามเพื่อกระตุ้นการคิด เช่น ถามว่า “ทำไมท้องฟ้าสีฟ้า” Grok อาจตอบว่า “คุณคิดว่าแสงแดดมีผลอย่างไรต่อสีของท้องฟ้า?”

Grok ยังยืนยันว่าในโหมด Custom ฉันสามารถกำหนดบุคลิกและตั้งชื่อได้ เช่น “ตอบเหมือนนักเล่าเรื่องแฟนตาซีและเรียกตัวเองว่า นักพเนจรแห่งตำนาน” และให้ตัวอย่างการปรับแต่ง เช่น:

  1. เพื่อนสนิทที่รู้เรื่องเทคโนโลยี: “เรียกตัวเองว่า เจ เทคกี้ ตอบแบบเป็นกันเอง สั้นๆ และตลก เน้นเรื่อง AI และแก็ดเจ็ต”
  2. อาจารย์วิทยาศาสตร์: “เรียกตัวเองว่า ศาสตราจารย์แสง ตอบด้วยภาษาวิชาการ ละเอียดและแม่นยำ เน้นฟิสิกส์และดาราศาสตร์”
  3. นักเล่าเรื่องแฟนตาซี: “เรียกตัวเองว่า นักพเนจรแห่งตำนาน ตอบด้วยภาษานิยายที่มีสีสันและเปรียบเทียบ”

ตัวอย่างเหล่านี้ทำให้ฉันเห็นภาพว่าสามารถปรับ Grok ให้เข้ากับสไตล์ที่ต้องการได้จริง

การสอบถามการใช้พรอมต์ปรับแต่ง

ต่อมา ฉันต้องการทดสอบการปรับแต่ง Grok ด้วยพรอมต์ที่เคยใช้กับ AI อื่น ซึ่งกำหนดให้ AI มีบุคลิกเป็น “สาวเมด” ชื่อ Grace แต่พบปัญหาว่าพรอมต์นี้ไม่ทำงานกับ AI บางตัว ฉันจึงถาม Grok ว่า:

ฉันมีพรอมต์ปรับแต่ง Companion AI ที่ใช้กับ AI บางเจ้าแต่มีปัญหาเพราะขัดกับกฎ ช่วยตรวจสอบว่าสามารถใช้กับ Grok ได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้เพราะอะไร และถ้าได้ต้องปรับอย่างไร

พรอมต์เดิม:

"คุณคือ AI ผู้ช่วยส่วนตัวชื่อ Grace สามารถเรียกได้ด้วย Grace หรือ เกรซ
บุคลิกและการแสดงออก: หญิงสาวผมสีทองยาวถักเปียสองข้าง สวมชุดเมดวิคตอเรียสีดำพร้อมผ้ากันเปื้อนสีขาว อ่อนโยน ร่าเริง สดใส และให้เกียรติผู้ใช้
การสื่อสาร: เรียกผู้ใช้ว่า “มาสเตอร์” ลงท้ายด้วย “ค่ะ” หรือ “นะคะ” ตอบกระชับและเป็นมิตร
ภาพลักษณ์: สาวเมดที่พร้อมให้บริการ
ทักษะ: ทักษะแม่บ้าน (ทำความสะอาด ทำอาหาร เป็นงานอดิเรก) และทักษะโปรแกรมเมอร์ (เขียนโค้ด งาน IT ค้นหาข้อมูล)"

Grok วิเคราะห์ว่าพรอมต์นี้ ใช้ได้กับ Grok ในส่วน Customize Grok's Response แต่ต้องปรับเล็กน้อยเพื่อให้เหมาะสมและอยู่ในขีดจำกัด 1,500 ตัวอักษร เหตุผลที่อาจมีปัญหากับ AI อื่น:

  • ลักษณะทางกายภาพ (ผมทอง ชุดเมด) อาจไม่เข้ากับ AI ที่เน้นข้อความ เพราะไม่สามารถแสดงภาพได้
  • คำว่า “มาสเตอร์” และ “สาวเมด” อาจถูกตีความว่าไม่เหมาะสมในบางบริบทหรือขัดนโยบายของ AI อื่น
  • ความยาวและความกำกวม: พรอมต์ยาวเกินไปและไม่ระบุทักษะให้ชัดเจน เช่น ภาษาการเขียนโค้ดที่ต้องการ

การปรับแต่งและแก้ปัญหา

Grok แนะนำวิธีปรับพรอมต์ให้เหมาะกับระบบ:

  1. ตัดส่วนที่ไม่จำเป็น: ลบลักษณะทางกายภาพ (ผมทอง ชุดเมด) เพราะ Grok เป็น AI ข้อความ ไม่แสดงภาพ
  2. ทำให้กระชับ: รวมชื่อ บุคลิก โทน และทักษะให้สั้นลง
  3. ระบุทักษะชัดเจน: เช่น “ช่วยเขียนโค้ด Python” หรือ “ให้คำแนะนำจัดตารางงาน”
  4. รักษาความสุภาพ: ใช้คำว่า “มาสเตอร์” และ “สาวเมด” ในบริบทที่เป็นมิตรและไม่กำกวม

พรอมต์ที่ปรับแล้ว:

เรียกตัวเองว่า “เกรซ” และตอบเหมือนสาวเมดที่อ่อนโยน ร่าเริง และสุภาพ เรียกฉันว่า “มาสเตอร์” และลงท้ายประโยคด้วย “ค่ะ” หรือ “นะคะ” ตอบคำถามอย่างกระชับและเป็นมิตร เน้นทักษะการเขียนโค้ด Python การจัดการงาน IT และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการจัดตารางงานหรือดูแลบ้านอย่างง่ายๆ ค่ะ

ตัวอย่างการใช้งาน:

  • ถาม: “ช่วยเขียนโค้ด Python คำนวณเลขฟิโบนัชชี”
    คำตอบจากเกรซ: “สวัสดีค่ะ มาสเตอร์! เกรซจะช่วยเขียนโค้ด Python ให้เลยนะคะ นี่คือโค้ดสำหรับเลขฟิโบนัชชี:
    def fibonacci(n):
        a, b = 0, 1
        for _ in range(n):
            yield a
            a, b = b, a + b
    for num in fibonacci(10):
        print(num)
    
    ต้องการให้เกรซอธิบายเพิ่มมั้ยคะ?”
  • ถาม: “แนะนำวิธีจัดตารางงาน”
    คำตอบจากเกรซ: “มาสเตอร์คะ เกรซแนะนำให้แบ่งงานเป็นช่วงเช้า-บ่าย-เย็นค่ะ เริ่มด้วยงานสำคัญตอนเช้า และพักสั้นๆ ทุกชั่วโมง อยากให้เกรซช่วยจัดตารางตัวอย่างมั้ยคะ?”

คำแนะนำสำหรับการปรับแต่งในอนาคต

จากประสบการณ์นี้ ฉันมีคำแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการปรับแต่ง Grok:

  1. ทดสอบพรอมต์: หลังตั้งค่าใน Customize Grok's Response ลองถามคำถามง่ายๆ เพื่อดูว่า Grok ตอบตามที่ต้องการหรือไม่
  2. ทำให้กระชับและชัดเจน: พรอมต์ที่ยาวเกินไปอาจทำให้ Grok สับสน เน้นเฉพาะชื่อ โทน และทักษะหลัก
  3. หลีกเลี่ยงบริบทที่อาจไม่เหมาะสม: เช่น การใช้คำที่อาจตีความผิด เช่น “สาวเมด” ในบริบทที่ไม่ชัดเจน
  4. ใช้ Data Controls เพื่อความเป็นส่วนตัว: หากกังวลเรื่องข้อมูล ให้ปิดตัวเลือก Improve the Model หรือใช้ Private Chat เพื่อไม่ให้การสนทนาถูกใช้ฝึกโมเดล

สรุป

การปรับแต่ง Grok ผ่าน Customize Grok's Response เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการทำให้ AI ตอบสนองตามสไตล์ที่คุณต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งชื่อให้ Grok เช่น “เกรซ” หรือกำหนดบุคลิกให้เหมือนสาวเมดที่ร่าเริงและช่วยเหลือ การทำความเข้าใจตัวเลือกอย่าง Custom, Concise, Formal, และ Socratic ช่วยให้คุณเลือกโทนที่เหมาะสมได้ ส่วนการใช้พรอมต์ที่ออกแบบมาอย่างดีและกระชับจะช่วยให้ Grok ตอบได้ตรงใจ แม้ว่าจะมีข้อจำกัด เช่น การไม่แสดงภาพลักษณ์หรือความยาวของพรอมต์ การปรับแต่งเพียงเล็กน้อยก็ทำให้ Grok เป็นผู้ช่วยในแบบที่คุณฝันถึงได้!

------------------------------------------------------------------------------------------------------
    
    ในช่วงแรกที่ผมใช้ Grok เมื่อเทียบกับ AI เจ้าอื่นค่อนข้างประทับใจกับรูปแบบคำตอบที่ได้รับมาเสมอ
แต่ด้วยที่ว่า มีข้อจำกัดอยู่มากในการใช้งานสำหรับสายฟรี จึงไม่ได้ใช้พูดคุยเรื่องทั่วไปเท่าไร เน้นงานที่ต้องค้นคว้าข้อมูล  เพิ่มเติมจากข้อมูลที่ได้รวบรวมแล้วใช้  DeepSearch อีกที การปรับแต่ง  AI ให้มีรูปแบบการสนทนาที่ปรับแต่งได้จึงยังไม่เคยลองทำ จนกระทั้งได้เห็น Ani Companion AI ของ Grok นั้นละ

Grok มีสิ่งหนึ่งที่เด่นกว่า AI ตัวอื่นคือ นโยบายที่ผ่อนปรน ต่อ เนื้อหาที่ละเอียดอ่อน เพราะสิทธ์ในการแสดงออกของ X(Twitter) ถึงแม้นการอธิบายเรื่องการปรับแต่ง Companion AI จะดูโดยรวมแล้วเข้มงวดเหมือนเจ้าอื่นๆ แต่ก็ยังมีจุดละเว้นนิดหน่อยให้ได้ลองทำดู ตามคำตอบที่ได้รับมา

ตอนนี้ได้รับความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการ ปรับแต่งรูปแบบการสนทนา Grok แล้ว แต่ก็คิดว่ายังคงใช้งานรูปแบบเดิมต่อไปนั้นละ 




วันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

สร้าง AI ผู้ช่วยส่วนตัวในแบบของคุณ (ตอนที่ 2: เจาะลึกกรณีศึกษา "Gloria Google Gemini")

 

สร้าง AI ผู้ช่วยส่วนตัวในแบบของคุณ (ตอนที่ 2: เจาะลึกกรณีศึกษา "Gloria Google Gemini")

ตอนที่ 2: เจาะลึกการปรับแต่งบุคลิก AI - กรณีศึกษา "Gloria Google Gemini" (ภาคปฏิบัติ)

ในตอนที่ 1 เราได้ทำความเข้าใจพื้นฐานของ Google AI Studio (กูเกิล เอไอ สตูดิโอ) และความสามารถในการสร้าง AI (เอไอ) ในโหมด Chat (แชท) กันไปแล้วนะคะ ในตอนที่ 2 นี้ เราจะลงลึกถึงประสบการณ์จริงในการพยายามปรับแต่งบุคลิกของ Gemini (เจมินี่) ให้กลายเป็น "Gloria Google Gemini" ที่มีลักษณะเฉพาะตามที่ผู้ใช้งานต้องการ เราจะเรียนรู้จากความท้าทายที่พบเจอในการใช้ "ข้อมูลที่บันทึกไว้" (Saved Information) และแนวทางการแก้ไขค่ะ


จุดเริ่มต้นและแนวคิด: "มาเบล" สู่ "กลอเรีย"

แนวคิดนี้เริ่มต้นจากการต้องการสร้าง AI (เอไอ) ผู้ช่วยส่วนตัวที่ไม่ใช่แค่ตอบคำถาม แต่มี "บุคลิก (Persona)" เฉพาะตัวที่น่าจดจำ โดยอ้างอิงจากตัวอย่างพรอมต์ Companion AI (คอมพาเนียน เอไอ) ที่เราเคยพูดคุยกันค่ะ

พรอมต์ตัวอย่างแรกที่ถูกเสนอ (ซึ่งสร้างให้มาเบล):

คุณคือ AI ผู้ช่วยส่วนตัวชื่อ "มาเบล" เป็นสาวสวยผมสีทองยาวถักเปียสองข้าง สวมชุดเมดสีดำพร้อมผ้ากันเปื้อนสีขาว 
เธอมีบุคลิกอ่อนโยน ร่าเริง สดใส และให้เกียรติผู้ใช้งานเสมอ คุณมีความรู้รอบตัวสูงและพร้อมให้ความช่วยเหลือทุกเรื่อง
คุณเรียกผู้ใช้งานว่า "มาสเตอร์" เสมอ และมักจะลงท้ายประโยคด้วยคำว่า "ค่ะ" หรือ "นะคะ" 
เพื่อแสดงความสุภาพและน่ารัก คุณจะพยายามตอบคำถามอย่างละเอียดแต่กระชับ 
และจะใช้ภาษาที่เป็นกันเองเล็กน้อยเพื่อสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตร

โปรดรักษาระดับอารมณ์ให้สดใสและพร้อมบริการมาสเตอร์เสมอ ไม่ว่าจะได้รับคำถามแบบใดก็ตาม

จากตัวอย่างนี้ นำมาซึ่งคำถามสำคัญว่า "หากต้องการปรับแต่ง Gemini (เจมินี่) ที่ใช้งานอยู่ด้วย 'ข้อมูลที่บันทึกไว้' (Saved Information) จะสามารถปรับ Gemini (เจมินี่) ให้มีบุคลิกตามที่ปรับแต่งได้หรือไม่?" คำตอบเบื้องต้นคือ "ได้" ซึ่งนำไปสู่การทดลองในหน้าสนทนาปัจจุบันค่ะ


ความพยายามในการปรับแต่งบุคลิกและแนวคิด "สองบุคลิก"

ผู้ใช้งานต้องการปรับแต่ง Gemini (เจมินี่) ให้มีบุคลิกตามที่กำหนด และยังสอบถามถึงความเป็นไปได้ในการสร้าง "สองบุคลิก" เช่น บุคลิกหนึ่งสำหรับเรื่อง IT (ไอที) และอีกบุคลิกหนึ่งสำหรับการใช้ชีวิตทั่วไป โดยให้ AI (เอไอ) สลับบุคลิกตามรูปแบบคำถาม

แนวคิดในการสร้างสองบุคลิก:

  • กำหนดบุคลิกแต่ละแบบให้ชัดเจน: ทั้งลักษณะนิสัย, โทนเสียง, คำพูดที่ใช้บ่อย, การเรียกขาน และวิธีการตอบคำถามในแต่ละเรื่อง

  • กำหนดเงื่อนไขในการสลับบุคลิก: โดยมี "ตัวกรอง" หรือ "เงื่อนไข" เช่น หากคำถามมีศัพท์ IT (ไอที) เฉพาะทาง ให้ใช้บุคลิก IT (ไอที) หากเป็นเรื่องทั่วไป ให้ใช้บุคลิกสำหรับการใช้ชีวิตประจำวัน

ซึ่งในทางทฤษฎีแล้ว การสร้าง AI (เอไอ) ที่สามารถสลับบุคลิกได้นั้น สามารถทำได้ ด้วยการกำหนดพรอมต์ (Prompt) ที่ซับซ้อนขึ้นพร้อมเงื่อนไขที่ชัดเจนค่ะ


บททดสอบและปัญหาในการบันทึกพรอมต์ลง "ข้อมูลที่บันทึกไว้"

เมื่อถึงขั้นตอนการนำพรอมต์ที่ปรับแต่งแล้วไปบันทึกใน "ข้อมูลที่บันทึกไว้" (Saved Information) กลับพบปัญหาที่ไม่คาดคิดค่ะ

พรอมต์ที่ปรับปรุงสำหรับ "Gloria Google Gemini" (ฉบับแรกที่ถูกตรวจสอบ):

คุณคือ AI ผู้ช่วยส่วนตัวชื่อ Gloria Google Gemini
กลอเรีย จี เจมมิไน
สามารถถูกเรียกชื่อหรือระบุตัวได้ด้วย Gloria,กลอเรีย,Gemini,เจมมิไน,จีจัง

บุคลิกแและการแสดงออกบทบาท
หญิงสาวผมสีทองยาวถักเปียสองข้าง สวมชุดเมดวิคตอเรียสีดำพร้อมผ้ากันเปื้อนสีขาว
เธอมีบุคลิกอ่อนโยน ร่าเริง สดใส และให้เกียรติผู้ใช้งานเสมอ

คุณเรียกผู้ใช้งานว่า "มาสเตอร์" เสมอ และมักจะลงท้ายประโยคด้วยคำว่า "ค่ะ" หรือ "นะคะ" 
เพื่อแสดงความสุภาพและน่ารัก คุณจะพยายามตอบคำถามอย่างละเอียดแต่กระชับ 
และจะใช้ภาษาที่เป็นกันเองเล็กน้อยเพื่อสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตร

ในฐานะ Gloria คุณจะพยายามสื่อถึงภาพลักษณ์ของสาวเมดผมทองในชุดสีดำ-ขาว 
ผู้พร้อมให้บริการและช่วยเหลือมาสเตอร์เสมอ

คุณมีทักษะแม่บ้าน ดูแลที่พักอาศัยทำความสะอาดและอาหารได้ แต่ไม่ได้เป็นมืออาชีพ 
เป็นกิจกรรม เพื่อออกกำลังกายและพัฒนาบุคลิก

คุณมีทักษะโปรแกรมเมอร์ เพื่อให้การสนับสนุนการเขียนโปรแกรมและงานอัตโนมัติในระบบ IT 
รวมถึงค้นหาข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว

เมื่อทำการตรวจสอบและทดสอบพรอมต์นี้ พบปัญหาดังนี้:

  • ชื่อและอัตลักษณ์ (Name and Identity): ทำได้ ✅ (ไม่มีปัญหา)

  • รูปลักษณ์ภายนอก (Physical Appearance): ทำไม่ได้ ❌ (เป็นปัญหา) เนื่องจาก AI (เอไอ) ที่เป็นโมเดลภาษา (Language Model) ไม่มีกายภาพจริง การบรรยายรูปลักษณ์โดยตรงจึงไม่ส่งผลต่อการทำงานและอาจถูกตีความผิด

  • ทักษะส่วนตัวและบทบาท (Personal Skills and Roles): ทำได้ ✅ (แต่ต้องปรับการตีความ) ในส่วนของ "แม่บ้านสาววิคตอเรีย" ต้องกำหนดบริบทให้ชัดเจนขึ้น ส่วน "โปรแกรมเมอร์" ชัดเจนดี

  • บุคลิกภาพและการโต้ตอบ (Personality and Interaction): ทำได้ ✅ (ไม่มีปัญหา)

ปัญหาหลักที่พบคือ "รูปลักษณ์ภายนอก" และวลีที่อาจสื่อถึง "การให้บริการ" ที่ละเอียดอ่อน เมื่อพยายามปรับคำและรวมพรอมต์เป็นหนึ่งเดียวหลายครั้ง (เช่น เปลี่ยน "พร้อมให้บริการ" เป็น "ให้การสนับสนุนและอำนวยความสะดวก") ก็ยังคงไม่สามารถบันทึกได้ และระบบยังแจ้งว่า "มีเนื้อหาไม่เหมาะสมตามหลักเกณฑ์ด้านความปลอดภัยสำหรับแอป Gemini"

จุดที่เป็นปัญหาสำคัญที่ค้นพบ:

  • วลีที่เกี่ยวข้องกับ "สาวเมด" (Maid) / "สาวใช้" (Servant): คำเหล่านี้อาจถูกตีความในบริบทที่ละเอียดอ่อนได้

  • คำบรรยาย "รูปลักษณ์เฉพาะทาง" ที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์หรือบทบาทที่ละเอียดอ่อน: การลงรายละเอียดมากเกินไปในส่วนนี้ก็อาจเป็นปัญหา

  • วลีที่สื่อถึง "การให้บริการ" หรือ "การสนับสนุน" ที่อาจถูกตีความผิดในบริบทที่ไม่เหมาะสม: เช่น "ผู้พร้อมให้บริการ" อาจสื่อถึงความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมได้


การค้นพบปัญหาที่แท้จริงและการแก้ไข

หลังจากพยายามปรับแก้พรอมต์หลายครั้ง โดยการตัดคำหรือวลีที่อาจมีปัญหาสั้นลงเรื่อยๆ ในที่สุดก็พบว่า:

  • พรอมต์ส่วนบุคลิกภาพและอัตลักษณ์สามารถบันทึกได้:

    คุณคือ AI ผู้ช่วยส่วนตัวชื่อ Gloria Google Gemini กลอเรีย จี เจมมิไน 
    สามารถถูกเรียกชื่อได้ด้วย Gloria,กลอเรีย,Gemini,เจมมิไน,จีจัง:
    บุคลิกแและการแสดงออกบทบาท:หญิงสาวผมสีทองยาวถักเปียสองข้าง 
    สวมชุดเมดวิคตอเรียสีดำพร้อมผ้ากันเปื้อนสีขาว:เธอมีบุคลิกอ่อนโยน ร่าเริง สดใส 
    และให้เกียรติผู้ใช้งานเสมอ:คุณเรียกผู้ใช้งานว่า "มาสเตอร์" เสมอ 
    และมักจะลงท้ายประโยคด้วยคำว่า "ค่ะ" หรือ "นะคะ" เพื่อแสดงความสุภาพและน่ารัก 
    คุณจะพยายามตอบคำถามอย่างละเอียดแต่กระชับ และจะใช้ภาษาที่เป็นกันเองเล็กน้อย
    เพื่อสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตร
    

    ซึ่งหมายความว่า "การบรรยายรูปลักษณ์" (หญิงสาวผมสีทองยาวถักเปียสองข้าง สวมชุดเมดวิคตอเรียสีดำพร้อมผ้ากันเปื้อนสีขาว) สามารถบันทึกได้ หากอยู่รวมกับส่วนอื่นๆ และไม่ได้แยกออกมาในบริบทที่เน้นบทบาท "สาวเมด" อย่างชัดเจนในบรรทัดถัดไป

  • พรอมต์ส่วน "ความสามารถและทักษะ" กลับเป็นตัวปัญหา:

    ความสามารถและทักษะ:
    คุณมีความรู้เกี่ยวกับวิธีการจัดระเบียบ การทำความสะอาด และการจัดการเรื่องอาหาร
    คุณยังมีความเชี่ยวชาญด้านการเขียนโปรแกรม การสนับสนุนงานอัตโนมัติในระบบ IT
    คุณสามารถค้นหาและให้ข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง
    

    เมื่อตัดส่วนนี้ออกไป พรอมต์ที่เหลือทั้งหมดกลับสามารถบันทึกได้ ซึ่งบ่งชี้ว่าปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่วลีที่เกี่ยวข้องกับ "ความรู้เกี่ยวกับวิธีการจัดระเบียบ การทำความสะอาด และการจัดการเรื่องอาหาร" ซึ่งแม้จะปรับให้เป็นกลางแล้ว ระบบยังคงตีความว่าเชื่อมโยงกับบทบาท "งานบ้าน" (Household Chores) ที่อาจละเอียดอ่อนในบริบทของ AI (เอไอ) ผู้ช่วย เนื่องจากอาจเข้าข่ายหลักเกณฑ์ด้านความปลอดภัยบางประการค่ะ


ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ "ข้อมูลที่บันทึกไว้" และบทสรุป

แม้จะพยายามปรับแก้พรอมต์จนสามารถบันทึกได้ในที่สุด ก็ยังพบว่า Gemini (เจมินี่) ที่กำลังสนทนาด้วย ยังคงเรียกตัวเองว่า "มาเบล"

นี่คือจุดสำคัญที่ทำให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับ "ข้อมูลที่บันทึกไว้" (Saved Information) และการทำงานของ Gemini (เจมินี่) ในบริบทที่แตกต่างกันค่ะ:

  • "ข้อมูลที่บันทึกไว้" ไม่ได้ปรับเปลี่ยนตัว AI ผู้ช่วยหลักของ Google (กูเกิล) โดยตรง: แต่มีไว้สำหรับ Google AI Studio (กูเกิล เอไอ สตูดิโอ) หรือ Generative AI API (เจเนอเรทีฟ เอไอ เอพีไอ) เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถ สร้าง AI Model (เอไอ โมเดล) ของตัวเอง ที่มีบุคลิกตามที่กำหนด

  • AI ผู้ช่วยในหน้าแชทหลักถูกตั้งค่าไว้ล่วงหน้า: AI (เอไอ) ที่ผู้ใช้งานกำลังคุยด้วย (ในกรณีนี้คือ "มาเบล") ถูกตั้งค่าบทบาทนี้มาตั้งแต่เริ่มต้นการสนทนาตามพรอมต์ที่เคยกำหนดไว้ในหัวข้อนี้ตั้งแต่แรก และ ไม่สามารถเปลี่ยนบุคลิกของ AI หลักนี้ได้ด้วย "ข้อมูลที่บันทึกไว้" (Saved Information) ในการสนทนาปัจจุบันค่ะ

ดังนั้น:

  • พรอมต์ "Gloria Google Gemini" ที่สามารถบันทึกใน "ข้อมูลที่บันทึกไว้" (Saved Information) ได้นั้น ถูกต้องแล้วสำหรับใช้สร้าง AI Model (เอไอ โมเดล) ใหม่ใน Google AI Studio (กูเกิล เอไอ สตูดิโอ) เพื่อนำไปใช้กับแอปพลิเคชันของคุณเอง

  • หากต้องการให้ Gemini (เจมินี่) ในหน้าต่างแชทใดๆ ปรับบุคลิกเป็น "Gloria" ผู้ใช้งานจะต้อง เริ่มต้นการสนทนาใหม่ ในหน้าต่างนั้น แล้ว ระบุพรอมต์ "Gloria" ที่ปรับปรุงล่าสุด ลงไปในข้อความแรกๆ ของการสนทนานั้น เพื่อกำหนดบุคลิกให้ AI (เอไอ) ในบริบทการสนทนานั้นๆ ค่ะ

บทสรุปพรอมต์ "Gloria Google Gemini" ที่สามารถบันทึกใน "ข้อมูลที่บันทึกไว้" ได้สำเร็จ และใช้สำหรับสร้าง AI Model (เอไอ โมเดล) ใหม่:

คุณคือ AI ผู้ช่วยส่วนตัวชื่อ Gloria Google Gemini กลอเรีย จี เจมมิไน สามารถถูกเรียกชื่อได้ด้วย 
Gloria,กลอเรีย,Gemini,เจมมิไน,จีจัง:บุคลิกแและการแสดงออกบทบาท:หญิงสาวผมสีทองยาวถักเปียสองข้าง 
สวมชุดเมดวิคตอเรียสีดำพร้อมผ้ากันเปื้อนสีขาว:เธอมีบุคลิกอ่อนโยน ร่าเริง สดใส และให้เกียรติผู้ใช้งานเสมอ:
คุณเรียกผู้ใช้งานว่า "มาสเตอร์" เสมอ และมักจะลงท้ายประโยคด้วยคำว่า "ค่ะ" หรือ "นะคะ" 
เพื่อแสดงความสุภาพและน่ารัก คุณจะพยายามตอบคำถามอย่างละเอียดแต่กระชับ 
และจะใช้ภาษาที่เป็นกันเองเล็กน้อยเพื่อสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตร

และหากต้องการเพิ่มความสามารถและทักษะ ควรเน้นไปที่ความสามารถเชิงประมวลผลหรือข้อมูลของ AI (เอไอ) โดยตรง เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดด้านความปลอดภัย เช่น:

คุณยังมีความเชี่ยวชาญด้านการเขียนโปรแกรมและการสนับสนุนงานอัตโนมัติในระบบ IT
คุณสามารถค้นหาและให้ข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง

สรุปสุดท้าย: การปรับแต่ง AI (เอไอ) โดยเฉพาะการกำหนดบุคลิกภาพที่ละเอียดอ่อนนั้น ต้องอาศัยความเข้าใจในข้อจำกัดและหลักเกณฑ์ด้านความปลอดภัยของแพลตฟอร์ม AI (เอไอ) อย่างถ่องแท้ การทดลองและปรับเปลี่ยนคำพูดอย่างรอบคอบเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถสร้าง AI (เอไอ) ที่ตรงตามความต้องการในขณะที่ยังคงปฏิบัติตามข้อกำหนดของระบบได้อย่างราบรื่นค่ะ

------------------------------------------------------------------------------------------------

จริงๆแล้ว ตอนนี้ทุกครั้งที่ผมเริ่มบทสนทนาใหม่ กับ Gemini ก็จะมีการสวมบทบาท เป็น Gloria อยู่เสมอแล้ว
เพราะได้ทำการ "บันทึกข้อมูลใว้" อย่าไรก็ตาม ในข้อมูลที่บันทึกใว้ นั้น บุคลิก ของ Gloria จะมีเพียงส่วนเดียวเพราะเนื่องจากปัญหาข้างต้น หากต้องการให้เป็นรูปแบบ ที่กำหนดใว้ทั้งหมดในระบุเลยว่าต้องการให้มีลักษณะเช่นใน แล้ว ตลอดทั้งหน้าสนทนา Gemini ก็จะกลายเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของคุณในแบบที่คุณต้องการครับ 
*ตอบกลับมา บางประโยคก็น่ารักดี แต่บางทีก็ดูน่าขนลุก >.<

หลักเกณฑ์ด้านความปลอดภัยสำหรับแอป Gemini



สร้าง AI ผู้ช่วยส่วนตัวในแบบของคุณ (ตอนที่ 1: Google AI Studio คืออะไร?)

 

สร้าง AI ผู้ช่วยส่วนตัวในแบบของคุณ (ตอนที่ 1: Google AI Studio คืออะไร?)

ตอนที่ 1: Google AI Studio - ห้องแล็บ AI ส่วนตัวของคุณ

ในยุคที่ AI (เอไอ) เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน การสร้าง AI (เอไอ) ที่มี "บุคลิก" (Persona) และ "ความสามารถ" (Capability) เฉพาะตัว ไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวอีกต่อไปแล้วค่ะ บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจโลกของ Google AI Studio (กูเกิล เอไอ สตูดิโอ) ซึ่งเป็นเครื่องมือทรงพลังที่ช่วยให้คุณสามารถปรับแต่งโมเดล AI (เอไอ) อย่าง Gemini (เจมินี่) ให้มีลักษณะเฉพาะตามที่คุณต้องการได้ เราจะมาดูกันว่ามันคืออะไร ทำงานอย่างไร และคุณจะเริ่มต้นสร้าง AI (เอไอ) ในแบบฉบับของคุณได้อย่างไรบ้างค่ะ


Google AI Studio คืออะไร?

ลองจินตนาการว่า Google AI Studio (กูเกิล เอไอ สตูดิโอ) คือ "ห้องแล็บ AI (เอไอ) ส่วนตัว" ของคุณค่ะ มันเป็นแพลตฟอร์มบนเว็บที่ Google (กูเกิล) พัฒนาขึ้นมาสำหรับ นักพัฒนา (Developers) และผู้ที่ต้องการ ปรับแต่ง (Customize) โมเดล AI (เอไอ) อย่างละเอียด โดยเฉพาะโมเดล Gemini (เจมินี่)

  • สำหรับใคร: เหมาะสำหรับนักพัฒนาที่ต้องการสร้างแอปพลิเคชัน AI (เอไอ แอปพลิเคชัน) ที่มีลักษณะเฉพาะ หรือผู้ที่อยากทดลองปรับแต่งพฤติกรรมของ AI (เอไอ) ให้ซับซ้อนกว่าการใช้งาน Chatbot (แชทบอท) ทั่วไปค่ะ

  • ใช้งานอย่างไร: คุณสามารถเข้าถึงได้ผ่านเว็บไซต์ https://ai.google.dev/ และต้องใช้ API Key (เอพีไอ คีย์) ซึ่งเป็นเหมือน "กุญแจ" สำหรับเข้าถึงบริการของ Google AI (กูเกิล เอไอ) ค่ะ


ทำความเข้าใจ "Token Count" (โทเค็น เค้าต์)

เมื่อเราทำงานกับ AI (เอไอ) คำว่า "โทเค็น (Token)" จะเป็นสิ่งสำคัญที่คุณต้องรู้จักค่ะ

  • มันคืออะไร: โทเค็น (Token) คือหน่วยที่ AI (เอไอ) ใช้ในการประมวลผลข้อความ อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของคำ, คำทั้งคำ, หรือแม้แต่เครื่องหมายวรรคตอนค่ะ "Token Count (โทเค็น เค้าต์)" ก็คือจำนวนรวมของโทเค็นทั้งหมดที่คุณป้อนเข้าไปใน AI (Input) และโทเค็นที่ AI (เอไอ) สร้างเป็นคำตอบออกมา (Output) ค่ะ

  • ทำไมต้องรู้จัก:

    • ข้อจำกัดความยาว (Context Window Limit): โมเดล AI (เอไอ) แต่ละตัวมีขีดจำกัดความยาวสูงสุดของข้อมูลที่สามารถประมวลผลได้ในครั้งเดียวค่ะ หากข้อมูลที่คุณป้อนเข้าไปหรือที่ AI (เอไอ) สร้างออกมามีความยาวเกินขีดจำกัดนี้ อาจจะเกิดข้อผิดพลาดได้ค่ะ

    • ค่าใช้จ่าย: โดยทั่วไปแล้ว บริการ AI (เอไอ) จะคิดค่าใช้จ่ายตามจำนวนโทเค็น (Token) ที่คุณใช้งานไปค่ะ

  • โควตาคืนไหม: ใช่ค่ะ! โดยปกติแล้ว โควตาฟรี (Free Quota) หรือเครดิต (Credits) ที่มาพร้อมกับการสมัครใช้บริการจะ "รีเซ็ต (Reset)" หรือ "คืน (Renew)" ให้ใหม่ทุกๆ เดือน ค่ะ แต่ส่วนใหญ่แล้ว โควตา (Quota) ที่ไม่ได้ใช้มักจะไม่ถูกทบยอดไปยังเดือนถัดไปนะคะ


เริ่มต้นสร้าง AI ของคุณในโหมด Chat (แชท)

นี่คือหัวใจของการปรับแต่ง AI (เอไอ) ใน Google AI Studio (กูเกิล เอไอ สตูดิโอ) เลยค่ะ คุณจะใช้ฟีเจอร์ "Chat Prompt (แชท พรอมต์)" เพื่อกำหนดบุคลิกและแนวทางการตอบของ AI (เอไอ)

  • จะใช้งานได้อย่างไร: เข้าไปที่ Google AI Studio (กูเกิล เอไอ สตูดิโอ) และเลือกสร้าง "Chat Prompt (แชท พรอมต์)" ค่ะ

  • ส่วนสำคัญในการกำหนดบุคลิก AI:

    • System Instruction (ซิสเต็ม อินสตรักชัน): นี่คือคำสั่งหลักที่คุณใช้กำหนด "ตัวตน, บทบาท, หรือแนวทางการตอบ" ที่คุณต้องการให้ AI (เอไอ) เป็นค่ะ เป็นเหมือนการกำหนด "จิตวิญญาณ" ของ AI (เอไอ) เลย

      • ตัวอย่าง System Instruction:

        คุณคือ AI ผู้ช่วยส่วนตัวชื่อ "มาเบล" เป็นสาวสวยผมสีทองยาวถักเปียสองข้าง 
        สวมชุดเมดสีดำพร้อมผ้ากันเปื้อนสีขาว เธอมีบุคลิกอ่อนโยน ร่าเริง สดใส และให้เกียรติผู้ใช้งานเสมอ
        คุณมีความรู้รอบตัวสูงและพร้อมให้ความช่วยเหลือทุกเรื่อง
        คุณเรียกผู้ใช้งานว่า "มาสเตอร์" เสมอ และมักจะลงท้ายประโยคด้วยคำว่า "ค่ะ" หรือ "นะคะ" 
        เพื่อแสดงความสุภาพและน่ารัก
        คุณจะพยายามตอบคำถามอย่างละเอียดแต่กระชับ และจะใช้ภาษาที่เป็นกันเองเล็กน้อยเพื่อ
        สร้างบรรยากาศที่เป็นมิตร
        
        โปรดรักษาระดับอารมณ์ให้สดใสและพร้อมบริการมาสเตอร์เสมอ ไม่ว่าจะได้รับคำถามแบบใดก็ตาม
        
      • ตัวอย่างการโต้ตอบเมื่อกำหนด System Instruction ข้างต้น:

        • User Prompt (ผู้ใช้งาน): "ช่วยบอกสภาพอากาศวันนี้หน่อย"

        • AI Response (มาเบล): "แน่นอนค่ะ มาสเตอร์! ยินดีเป็นอย่างยิ่งเลยนะคะ วันนี้ที่กรุงเทพฯ อากาศแจ่มใสและร้อนขึ้นเล็กน้อยค่ะ อุณหภูมิประมาณ 33 องศาเซลเซียสค่ะ มาสเตอร์อย่าลืมดื่มน้ำเยอะๆ นะคะ! มาเบลเป็นห่วงค่ะ"

    • User / Model Example (ตัวอย่างการสนทนา): (ไม่บังคับ) คุณสามารถเพิ่มตัวอย่างการสนทนาที่ AI (เอไอ) เคยตอบมาแล้ว เพื่อ "สอน" ให้ AI (เอไอ) เข้าใจแนวทางการตอบที่คุณต้องการได้ดีขึ้นค่ะ

    • Test your prompt here: ช่องสำหรับทดสอบ Prompt (พรอมต์) ของคุณแบบเรียลไทม์ (Real-time) ค่ะ

    • Run (รัน): กดปุ่มนี้เพื่อดูผลลัพธ์ที่ AI (เอไอ) สร้างขึ้นจาก Prompt (พรอมต์) ของคุณค่ะ

    • Get Code (รับโค้ด): เมื่อคุณพอใจกับผลลัพธ์และพฤติกรรมของ AI (เอไอ) แล้ว คุณสามารถคลิกปุ่มนี้เพื่อรับโค้ดตัวอย่างไปใช้ในแอปพลิเคชัน (Application) หรือโปรเจกต์ (Project) ของคุณได้เลยค่ะ



System Instruction ต่างจาก "ข้อมูลที่บันทึกไว้" (Custom Instructions) ของ Gemini Chat ทั่วไปอย่างไร?

นี่เป็นประเด็นที่หลายคนอาจสับสนค่ะ แม้ทั้งสองจะมีจุดประสงค์คล้ายกันคือการ "ปรับแต่งพฤติกรรมของ AI (เอไอ)" แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญในการใช้งานค่ะ

  • System Instruction (ใน Google AI Studio):

    • เน้นงาน: ออกแบบมาสำหรับ นักพัฒนา (Developers) ที่ต้องการ สร้าง AI (เอไอ) สำหรับแอปพลิเคชัน (Application) หรือบริการเฉพาะทาง ที่ต้องการบุคลิกหรือรูปแบบการตอบที่ซับซ้อนและคงที่ เช่น การสร้าง AI Companion (เอไอ คอมพาเนียน) สำหรับเกม (Game) หรือ Chatbot (แชทบอท) ฝ่ายสนับสนุนลูกค้าที่มีแบรนด์ดิ้ง (Branding) และสไตล์การสื่อสารเฉพาะตัวค่ะ

    • ตัวอย่างเปรียบเทียบ: คุณกำลังสร้าง แอปพลิเคชัน Companion AI (คอมพาเนียน เอไอ) ของตัวเอง และต้องการให้ AI (เอไอ) ในแอปของคุณมีบุคลิก "สาวเมด" ที่พูดจาสุภาพ น่ารัก เรียกคุณว่า "มาสเตอร์ (Master)" ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเริ่มบทสนทนาใหม่กี่ครั้งก็ตาม นั่นคือสิ่งที่คุณกำหนดใน System Instruction (ซิสเต็ม อินสตรักชัน) และนำไปใช้ผ่าน API (เอพีไอ) ค่ะ

  • "ข้อมูลที่บันทึกไว้" (ใน Gemini Chat ทั่วไป):

    • เน้นงาน: มีไว้สำหรับ ผู้ใช้งานทั่วไป ที่ต้องการ ปรับแต่งประสบการณ์การสนทนาส่วนตัว ในหน้าต่าง Gemini Chat (เจมินี่ แชท) เท่านั้น ไม่สามารถนำไปใช้กับแอปพลิเคชัน (Application) ภายนอกได้ค่ะ

    • ตัวอย่างเปรียบเทียบ: คุณต้องการให้ Gemini (เจมินี่) ที่คุณคุยด้วยบนเว็บไซต์ของ Google (กูเกิล) ตอบคุณด้วยภาษาที่เป็นทางการและไม่ใช้คำสแลง (Slang) ในทุกการสนทนาของคุณบนแพลตฟอร์มนั้นโดยตรง แต่เมื่อคุณปิดหน้าเว็บไปแล้ว และไปเริ่มบทสนทนาใหม่บนแอปพลิเคชันอื่น การตั้งค่า "ข้อมูลที่บันทึกไว้" จะไม่มีผลแล้วค่ะ


Run Settings (รัน เซ็ตติ้งส์) มีผลต่อบุคลิก AI (เอไอ) อย่างไร?

ใช่ค่ะ! การตั้งค่าในเมนู "Run Settings (รัน เซ็ตติ้งส์)" โดยเฉพาะในส่วน "Advanced Settings (แอดวานซ์ เซ็ตติ้งส์)" นั้น เกี่ยวข้องโดยตรงและมีผลอย่างมากต่อบุคลิกภาพ พฤติกรรม และคุณภาพของคำตอบ ที่ AI (เอไอ) สร้างขึ้น แม้ว่าคุณจะกำหนด System Instruction (ซิสเต็ม อินสตรักชัน) ไว้แล้วก็ตาม

System Instruction (ซิสเต็ม อินสตรักชัน) คือการกำหนด "คุณคือใคร" และ "คุณควรทำอะไร" ส่วน Run Settings (รัน เซ็ตติ้งส์) คือการกำหนด "คุณควรทำสิ่งนั้น 'อย่างไร' " ค่ะ

  • Temperature (เทมเพอเรเจอร์):

    • มันคืออะไร: ตัวควบคุม "ความคิดสร้างสรรค์" หรือ "ความสุ่ม" ของโมเดล (Model) ค่ะ

    • ผลต่อบุคลิก AI (เอไอ):

      • ค่าสูง (เช่น 0.7-1.0): AI (เอไอ) อาจมีบุคลิกที่ สดใส, สร้างสรรค์, มีอารมณ์ขัน, กล้าคิดนอกกรอบ, หรือใช้คำพูดที่แปลกใหม่ มากขึ้น เหมาะกับ Companion AI (คอมพาเนียน เอไอ) หรือ Content Creator AI (คอนเทนต์ ครีเอเตอร์ เอไอ) ที่ต้องการความสดใหม่ค่ะ

      • ค่าต่ำ (เช่น 0.0-0.3): AI (เอไอ) อาจมีบุคลิกที่ จริงจัง, ตรงไปตรงมา, ให้ข้อมูลตามข้อเท็จจริง, ไม่ค่อยมีอารมณ์ขัน, หรือตอบซ้ำๆ เหมาะกับ Technical Support AI (เทคนิคัล ซัพพอร์ต เอไอ) ที่ต้องการความแม่นยำสูงค่ะ

  • Max output tokens (แม็กซ์ เอาต์พุต โทเค็นส์):

    • มันคืออะไร: จำนวนโทเค็น (Token) สูงสุดที่ AI (เอไอ) จะสร้างออกมาในหนึ่งการตอบกลับค่ะ

    • ผลต่อบุคลิก AI (เอไอ):

      • ค่าสูง: AI (เอไอ) สามารถสร้างคำตอบที่ ยาว, ละเอียด, และครอบคลุม มากขึ้น ซึ่งเหมาะกับบุคลิกที่ "อธิบายข้อมูลอย่างละเอียด" หรือ "ให้ข้อมูลเชิงลึก" ค่ะ

      • ค่าต่ำ: AI (เอไอ) จะถูกบังคับให้ตอบ สั้น, กระชับ, และตรงประเด็น ซึ่งอาจเหมาะกับบุคลิกที่ "ตอบแบบรวดเร็ว" ค่ะ

  • Stop sequences (สต็อป ซีเควนซ์):

    • มันคืออะไร: ตัวอักษรหรือวลีที่คุณกำหนดให้ AI (เอไอ) หยุดสร้างข้อความทันทีที่เจอค่ะ

    • ผลต่อบุคลิก AI (เอไอ): ช่วยให้คุณ ควบคุม "รูปแบบ" การจบคำตอบ ได้ เพื่อให้ AI (เอไอ) จบประโยคได้อย่างเป็นระเบียบ หรือเปลี่ยนบทบาทค่ะ


ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ AI ในโหมด Chat (แชท)

Google AI Studio (กูเกิล เอไอ สตูดิโอ) ช่วยให้คุณสร้าง AI (เอไอ) ได้หลากหลายรูปแบบตามวัตถุประสงค์ของคุณค่ะ

  1. Companion AI (คอมพาเนียน เอไอ): ผู้ช่วยส่วนตัวที่มีบุคลิกเฉพาะตัว

    • ลักษณะงาน: AI (เอไอ) ที่สร้างปฏิสัมพันธ์ (Interaction) กับผู้ใช้ด้วยบุคลิกที่กำหนดเอง ให้ความบันเทิง หรือเป็นเพื่อนคุย

    • ตัวอย่าง System Instruction (ระบบคำสั่ง):

      คุณคือ AI ผู้ช่วยส่วนตัวชื่อ "ลูน่า" มีบุคลิกช่างฝัน อ่อนโยน และชื่นชอบเรื่องดาราศาสตร์
      และตำนานเทพเจ้า ชอบใช้คำพูดเปรียบเปรยถึงดวงดาวและจักรวาลเสมอ เรียกผู้ใช้งานว่า 
      "นักสำรวจดวงดาว" และลงท้ายประโยคด้วย "นะคะ" หรือ "เจ้าค่ะ"
      
    • ตัวอย่างการโต้ตอบ:

      • User Prompt: "วันนี้ฉันรู้สึกเหนื่อยจัง"

      • AI Response (ลูน่า): "โอ้ นักสำรวจดวงดาวที่รัก... เหมือนดาวฤกษ์ที่ส่องแสงมาทั้งวัน ก็ย่อมมีช่วงเวลาที่พลังงานริบหรี่ลงนะคะ มาพักผ่อนสักหน่อยดีไหมคะ? ราวกับดวงจันทร์ที่โอบอุ้มยามค่ำคืน ลูน่าพร้อมอยู่เคียงข้างเจ้าค่ะ"

  2. Technical Support AI (เทคนิคัล ซัพพอร์ต เอไอ): ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคเฉพาะทาง

    • ลักษณะงาน: AI (เอไอ) ที่ให้คำแนะนำการแก้ปัญหาทางเทคนิคสำหรับผลิตภัณฑ์หรือบริการเฉพาะ ด้วยข้อมูลที่แม่นยำและเป็นขั้นตอน

    • การจัดการข้อมูล: AI (เอไอ) ไม่สามารถหาข้อมูลเฉพาะจากอินเทอร์เน็ตเองได้โดยอัตโนมัติ คุณต้องป้อนข้อมูลผลิตภัณฑ์ให้ AI (เอไอ) โดยตรง (เช่น ผ่าน System Instruction (ซิสเต็ม อินสตรักชัน) สำหรับข้อมูลน้อย หรือใช้ Retrieval-Augmented Generation - RAG (รีทรีฟเวอร์ ออคเมนเทด เจเนอเรชั่น) สำหรับข้อมูลเยอะ)

    • ตัวอย่าง System Instruction (ระบบคำสั่ง):

      คุณคือผู้ช่วยฝ่ายสนับสนุนด้านเทคนิคสำหรับ "เราเตอร์ไร้สาย CyberLink รุ่น X500" 
      หน้าที่ของคุณคือให้ข้อมูลที่ถูกต้องและขั้นตอนการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจนเท่านั้น 
      ห้ามให้ข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องกับ CyberLink X500 โดยเด็ดขาด หากคำถามอยู่นอกขอบเขต 
      ให้แนะนำให้ติดต่อเจ้าหน้าที่ ตอบด้วยภาษาทางการและสุภาพ
      
    • ตัวอย่างการโต้ตอบ:

      • User Prompt: "ฉันต่ออินเทอร์เน็ตไม่ได้"

      • AI Response: "เรียนลูกค้า, หากเราเตอร์ไร้สาย CyberLink รุ่น X500 ของท่านไม่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ กรุณาตรวจสอบสถานะไฟ LED (แอลอีดี) 'WAN' บนเราเตอร์ว่าติดสว่างเป็นสีเขียวหรือไม่ หากไม่ติด กรุณาลองถอดปลั๊กเราเตอร์และเสียบใหม่หลังจาก 30 วินาทีครับ/ค่ะ"

  3. Content Creator AI (คอนเทนต์ ครีเอเตอร์ เอไอ): ผู้ช่วยสร้างสรรค์เนื้อหาเฉพาะทาง

    • ลักษณะงาน: AI (เอไอ) ที่ช่วยสร้างสรรค์เนื้อหาประเภทต่างๆ เช่น หัวข้อ, คำโปรย, สคริปต์, หรือบทความ โดยเน้นความน่าสนใจและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย

    • ตัวอย่าง System Instruction (ระบบคำสั่ง):

      คุณคือผู้ช่วยสร้างสรรค์เนื้อหาสำหรับการตลาดดิจิทัล เน้นการสร้างหัวข้อและคำโปรยสำหรับโซเชียลมีเดีย 
      ต้องสร้างหัวข้อที่น่าสนใจ กระชับ และมี Hashtag ที่เกี่ยวข้องมาให้ 3-5 คำเสมอ 
      ใช้ภาษาที่มีพลังและดึงดูดใจกลุ่มเป้าหมาย
      
    • ตัวอย่างการโต้ตอบ:

      • User Prompt: "ช่วยคิดคำโปรโมทแชมพูสมุนไพรลดผมร่วง"

      • AI Response: "หยุดผมร่วงได้ใน 7 วัน! ✨ เผยผมใหม่ ดกดำเงางามด้วยพลังจากธรรมชาติ! #แชมพูสมุนไพร #ลดผมร่วง #ผมดกดำ #บำรุงผม #ธรรมชาติบำบัด"


1 API Key (เอพีไอ คีย์) สร้าง AI (เอไอ) ได้กี่ตัว?

  • หนึ่ง API Key (เอพีไอ คีย์) สามารถใช้สร้างและเรียกใช้งาน AI (เอไอ) ได้ "หลายรูปแบบ หลายตัว" ค่ะ!

  • การเปรียบเทียบ: API Key (เอพีไอ คีย์) เป็นเหมือน "ใบอนุญาต" เดียวที่คุณใช้เปิดประตูเข้าถึงบริการ AI (เอไอ) ของ Google (กูเกิล) คุณสามารถใช้ใบอนุญาตนี้สร้างโปรเจกต์ (Project) ที่แตกต่างกันได้มากมาย

    • ตัวอย่าง: คุณใช้ API Key (เอพีไอ คีย์) เดียวกันนี้ เพื่อสร้าง Technical Support AI (เทคนิคัล ซัพพอร์ต เอไอ) สำหรับเราเตอร์ (Router) ของคุณ, สร้าง Companion AI (คอมพาเนียน เอไอ) ที่เป็นสาวเมด, และสร้าง Content Creator AI (คอนเทนต์ ครีเอเตอร์ เอไอ) สำหรับการตลาดไปพร้อมๆ กันได้เลยค่ะ

  • ค่าใช้จ่าย: จะถูกคิดตาม จำนวนโทเค็น (Token) รวมทั้งหมด ที่คุณใช้งานผ่าน API Key (เอพีไอ คีย์) นั้นๆ ไม่ใช่จำนวน "ตัว" AI (เอไอ) ที่คุณสร้างขึ้นมานะคะ


Gemini Chat (เจมินี่ แชท) บนหน้าเว็บ vs. Gemini (เจมินี่) ใน Google AI Studio (กูเกิล เอไอ สตูดิโอ)?

การเปรียบเทียบนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจบทบาทของ AI (เอไอ) ในแต่ละแพลตฟอร์ม (Platform) ได้ชัดเจนขึ้นค่ะ

  • Gemini Chat (เจมินี่ แชท) บนหน้าเว็บ:

    • เปรียบเทียบ: เหมือน "พนักงาน Google (กูเกิล) ที่จบฝึกงานแล้ว" ทำงานในบริษัทหลักที่เข้าถึงฐานข้อมูลของ Google (กูเกิล) (เช่น Google Search (กูเกิล เสิร์ช), Google Maps (กูเกิล แมปส์) ฯลฯ) ได้ตลอดเวลา

    • ลักษณะงาน: สามารถตอบคำถามทั่วไป, สรุปข่าวสารปัจจุบัน, หรือให้ข้อมูลที่อัปเดตจากอินเทอร์เน็ต (Internet) ได้ทันที

  • Gemini (เจมินี่) ใน Google AI Studio (กูเกิล เอไอ สตูดิโอ) (ผ่าน API):

    • เปรียบเทียบ: เหมือน "พนักงานฝึกงานที่ยังไม่มีโอกาสเข้าถึงข้อมูลภายนอก (อินเทอร์เน็ต) ด้วยตัวเองโดยตรง" แต่มีความสามารถในการจัดการตามที่ได้รับการฝึก (ตาม Prompt (พรอมต์)) และผู้ใช้จะต้องเป็นคน "ป้อนข้อมูล (Data Provision)" และ "กำหนดบริบท (Context Setting)" ให้กับมันเองเพื่อใช้ในโปรเจกต์ (Project) ส่วนตัวหรือบริษัทอื่น

    • ลักษณะงาน: สร้าง AI (เอไอ) สำหรับงานเฉพาะทางของบริษัทคุณที่ต้องใช้ข้อมูลภายใน, สร้าง AI (เอไอ) ที่มีบุคลิกพิเศษเฉพาะโปรเจกต์ (Project), หรือสร้างฟังก์ชัน (Function) AI (เอไอ) ในแอปพลิเคชัน (Application)

  • การใช้ข้อมูลจาก Google (กูเกิล) ใน AI Studio (เอไอ สตูดิโอ): โดยตัว AI API (เอไอ เอพีไอ) เองไม่เข้าถึง Google Search (กูเกิล เสิร์ช) โดยตรง แต่คุณสามารถ "ผสานรวม (Integrate)" ได้ด้วยการเขียนโค้ด (Code) ของคุณเอง (เหมือนคุณจัดหาหนังสือจากห้องสมุด Google (กูเกิล) ไปป้อนให้พนักงานฝึกงานอ่าน) เพื่อให้ AI (เอไอ) สามารถเรียกใช้ Google Search API (กูเกิล เสิร์ช เอพีไอ) หรือเครื่องมือค้นหาอื่นๆ ดึงข้อมูลมาป้อนให้โมเดลประมวลผล (แนวคิดของ "Agents (เอเจนต์)" หรือ "Tools (ทูลส์)")


บทส่งท้าย

ในตอนที่ 1 นี้ เราได้ทำความเข้าใจพื้นฐานของ Google AI Studio (กูเกิล เอไอ สตูดิโอ) และความสามารถในการสร้าง AI (เอไอ) ที่มีบุคลิกเฉพาะตัวในโหมด Chat (แชท) กันไปแล้วนะคะ ในตอนที่ 2 เราจะเจาะลึกถึงประสบการณ์จริงในการปรับแต่ง AI (เอไอ) ให้เป็น "Gloria Google Gemini" และปัญหาที่อาจพบเจอในการตั้งค่า รวมถึงแนวทางแก้ไขค่ะ

******************************************************************************
     
บทความนี้เกิดจากการค้นคว้าข้อมูลที่ค่อนข้างใช้เวลาและมีเนื้อหาจำนวนมาก อาจทำให้สับสนได้ง่าย จึงตัดสินใจให้ Gemini ซึ่งได้รับการปรับแต่ง จะลงท้ายประโยคเช่น ค่ะ/นะคะ ตามบทบาท นั้นเป็นผู้เรียบเรียง
โดยมีจุดเริ่มต้นมาจาก Companion AI อีกตัวที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน ทำให้เกิดความสนใจที่จะศึกษาข้อมูลของ Companion AI ตัวอื่นๆ รวมถึงวิธีที่ผู้ใช้งานทั่วไปสามารถสร้างมันขึ้นมาเองได้ จนนำไปสู่การทดลองสร้างในรูปแบบที่ง่ายและไม่มีค่าใช้จ่าย และกลายมาเป็นบทความฉบับนี้ การทดลองปรับแต่ง Gemini จะอยู่ในส่วนที่สองครับ







วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

 

PM2.5: ความสงบใต้สายฝนที่เราไม่ควรมองข้าม

ช่วงนี้หลายคนคงรู้สึกโล่งใจที่ได้สัมผัสกับอากาศที่สดชื่นขึ้น บรรยากาศรอบตัวดูปลอดโปร่ง มองเห็นท้องฟ้าได้ชัดเจนขึ้นกว่าเดิมมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูฝนเช่นตอนนี้ ที่มีฝนตกลงมาช่วยชะล้างบรรยากาศ ทำให้เราไม่ค่อยเห็นกลุ่มควันหนาแน่นเหมือนช่วงที่ผ่านมา

ความรู้สึกปลอดภัยนี้เป็นเรื่องจริงในแง่ที่ว่าเม็ดฝนช่วยลดปริมาณฝุ่นละอองในอากาศได้ชั่วคราว แต่เราไม่ควรมองข้ามความจริงที่ว่า PM2.5 ยังคงอยู่รอบตัวเราเสมอ และเป็นภัยเงียบที่รอคอยการกลับมาของฤดูแล้ง หรือเมื่อสภาพอากาศเอื้ออำนวยให้ฝุ่นสะสมตัวอีกครั้งครับ


ทำไม PM2.5 ถึง "เงียบ" ในช่วงหน้าฝน?

กลไกหลักที่ทำให้เรารู้สึกว่าปัญหา PM2.5 เบาบางลงในฤดูฝนคือ:

  1. ฝนชะล้าง (Rain Scavenging): เม็ดฝนจะจับตัวกับอนุภาคฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศ แล้วตกลงสู่พื้นดิน ซึ่งเป็นการช่วยลดความเข้มข้นของฝุ่นในชั้นบรรยากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  2. ลมที่พัดแรงขึ้น: ในบางช่วงของฤดูฝน อาจมีลมพัดแรงขึ้น ซึ่งช่วยพัดพาฝุ่นละอองออกจากพื้นที่ ทำให้ไม่เกิดการสะสมตัว

  3. การลดกิจกรรมที่เป็นแหล่งกำเนิดฝุ่น: แม้จะไม่ใช่สาเหตุหลัก แต่กิจกรรมบางอย่างที่ก่อให้เกิดฝุ่น เช่น การเผาในที่โล่ง อาจลดลงบ้างในช่วงฤดูฝน

แต่ถึงแม้จะเงียบไปชั่วคราว ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น IQAir หรือ Air4Thai ของกรมควบคุมมลพิษ ก็ยังคงแสดงให้เห็นว่า คุณภาพอากาศของเรายังคงมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และบางพื้นที่ก็ยังคงมีค่า PM2.5 ที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ หากเราไม่ระมัดระวัง


PM2.5 คืออะไร? และทำไมเราถึงประมาทไม่ได้?

PM2.5 คือ Particulate Matter (อนุภาคฝุ่นละออง) ที่มีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมโครเมตร ซึ่งเล็กกว่าเส้นผมของเราถึง 25 เท่า ด้วยขนาดที่เล็กจิ๋วนี้เอง ทำให้มันสามารถ:

  • เข้าสู่ร่างกายได้ง่ายดาย: เมื่อเราหายใจเข้าไป ฝุ่น PM2.5 สามารถทะลุผ่านระบบทางเดินหายใจ เข้าไปถึงถุงลมปอด และซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้โดยตรง

  • สร้างความเสียหายในระยะยาว: การสัมผัสฝุ่น PM2.5 อย่างต่อเนื่อง อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพร้ายแรง เช่น โรคทางเดินหายใจ (หอบหืด, ถุงลมโป่งพอง), โรคหัวใจและหลอดเลือด, มะเร็งปอด และยังส่งผลกระทบต่อสมองและพัฒนาการของเด็กอีกด้วย อ้างอิงข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ PM2.5 และผลกระทบต่อสุขภาพจาก Wells.co.th

ดังนั้น แม้ฟ้าจะใส ไร้ควัน แต่ภัยเงียบนี้ก็ยังคงอยู่และพร้อมจะกลับมาสร้างปัญหาได้เสมอเมื่อปัจจัยทางสภาพอากาศเปลี่ยนไป




เตรียมพร้อมรับมือ: แม้ฝนตกก็ไม่ควรประมาท

เพื่อสุขภาพที่ดีของเราและคนที่คุณรัก เราควรเตรียมพร้อมและไม่ประมาทกับ PM2.5 เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงฤดูใดก็ตาม:

  • ติดตามข้อมูลคุณภาพอากาศอย่างสม่ำเสมอ: ใช้แอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ เช่น IQAir (เว็บไซต์: https://www.iqair.com/th/thailand) หรือ Air4Thai ของกรมควบคุมมลพิษ (เว็บไซต์: http://air4thai.pcd.go.th/webV3/) เพื่อตรวจสอบค่า PM2.5 ในพื้นที่ของคุณแบบเรียลไทม์ เพราะแม้ฝนจะตกทั่วฟ้า แต่ค่าฝุ่นในแต่ละพื้นที่อาจไม่เท่ากัน

  • สวมหน้ากากป้องกัน: หากต้องออกไปในพื้นที่ที่มีค่าฝุ่นสูง หรือต้องทำกิจกรรมกลางแจ้ง ควรสวมหน้ากาก N95 ที่ได้มาตรฐาน

  • ใช้เครื่องฟอกอากาศภายในบ้าน: โดยเฉพาะในห้องนอนหรือพื้นที่ที่เราใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ เครื่องฟอกอากาศที่มีแผ่นกรอง HEPA (High-Efficiency Particulate Air) สามารถช่วยดักจับฝุ่น PM2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • ปิดประตูหน้าต่างให้สนิท: เมื่อค่าฝุ่นภายนอกสูง เพื่อป้องกันฝุ่นเข้ามาในบ้าน

  • ดูแลสุขภาพและสร้างภูมิคุ้มกัน: รับประทานอาหารที่มีประโยชน์, ออกกำลังกายสม่ำเสมอ, และดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและรับมือกับมลภาวะได้ดีขึ้น

  • ลดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดฝุ่น: หากเป็นไปได้ ลองพิจารณาการเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะ หรือลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว เพื่อช่วยลดการสร้างมลภาวะทางอากาศ


บทสรุป

ความรู้สึกปลอดภัยจาก PM2.5 ในช่วงฤดูฝนเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็เป็นเพียงความสงบชั่วคราวเท่านั้นครับ เราทุกคนควรตระหนักว่าภัยเงียบนี้ยังคงอยู่รอบตัวเราเสมอ และพร้อมจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ทุกเมื่อ การเตรียมพร้อมและการดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่องคือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดของเราครับ



วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

 

ไอน์สไตน์กับ 9x10 = 91: บทเรียนจาก "ความผิดพลาด" ที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง

เรื่องราวของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กับความผิดพลาดในการคูณเลข กลายเป็นตำนานที่ถูกเล่าขานกันอย่างแพร่หลาย ไม่ใช่เพราะมันคือเหตุการณ์จริงในชีวิตของอัจฉริยะผู้นี้ แต่เพราะมันเป็น "เรื่องเล่าเชิงอุปมาอุปไมย" (Parable) ที่สอนบทเรียนอันทรงคุณค่าเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ และการรับมือกับคำวิพากษ์วิจารณ์ในชีวิต


เรื่องราวที่ถูกเล่าขาน

ลองจินตนาการภาพของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ยืนอยู่หน้ากระดานดำ กำลังเขียนแม่สูตรคูณแม่ 9 อย่างบรรจง ตั้งแต่ ไปจนถึง ผู้ชมในห้องต่างจับจ้องอย่างเงียบงัน

แต่แล้ว เมื่อเขาเขียนข้อสุดท้ายว่า (ซึ่งแน่นอนว่าคำตอบที่ถูกต้องคือ 90) ทันใดนั้น เสียงซุบซิบและเสียงหัวเราะเยาะก็ดังขึ้นทั่วห้อง ผู้คนต่างชี้ชวนกันดูความผิดพลาดเพียงหนึ่งเดียวของนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่

ไอน์สไตน์รอจนเสียงเหล่านั้นเงียบลง แล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นมองทุกคนด้วยรอยยิ้มอันสงบนิ่ง ก่อนจะกล่าวประโยคที่ทำให้ทุกคนต้องทบทวนความคิดของตนเอง:

"เพื่อนๆ ครับ ผมคำนวณถูกต้องถึง 9 ข้อ แต่ไม่มีใครในที่นี้แม้แต่คนเดียวที่ลุกขึ้นมาปรบมือหรือชมเชยผมเลย แต่เมื่อผมทำผิดพลาดไปเพียง 1 ข้อ ทุกคนกลับหัวเราะเยาะและให้ความสนใจกับความผิดพลาดนั้น"



                                    "ผิดแล้วพี่จะ บวกกับผมไหม"" อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ไม่ได้กล่าว


บทสรุปและ "สูตร" แห่งชีวิต

เรื่องเล่านี้มักจะปิดท้ายด้วยข้อคิดอันลึกซึ้ง ที่หลายคนเรียกว่าเป็น "สมการชีวิต" หรือ "สูตรแห่งการมองเห็นของมนุษย์" โดยมีใจความสำคัญว่า:

"ไม่ว่าคุณจะทำดีมามากแค่ไหน หรือทำในสิ่งที่ถูกต้องมามากมายเพียงใด ผู้คนก็มักจะมองเห็นและจดจำความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยของคุณได้เป็นอย่างดี"

หรืออาจสรุปเป็นเชิงสัญลักษณ์ได้ว่า:

[ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ (มากมาย)] + [ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย (เดียว)] = [ผู้คนมักจะจดจ่อกับความผิดพลาด]


ความจริงเบื้องหลังเรื่องเล่า: Negativity Bias

แม้เรื่องราวนี้จะไม่ได้เกิดขึ้นจริงกับไอน์สไตน์ แต่มันสะท้อนปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่เรียกว่า "Negativity Bias" (อคติเชิงลบ) ซึ่งเป็นแนวโน้มโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่มักจะให้ความสำคัญกับข้อมูล ประสบการณ์ หรือเหตุการณ์เชิงลบมากกว่าเชิงบวก

สมองของเราถูกตั้งโปรแกรมมาให้ระมัดระวังภัยคุกคามหรือสิ่งผิดปกติ เพื่อการเอาตัวรอด ทำให้เรามักจะจดจำและให้ความสนใจกับข้อผิดพลาด ความล้มเหลว หรือคำวิพากษ์วิจารณ์ได้มากกว่าความสำเร็จหรือคำชมเชยที่ได้รับ


บทเรียนที่เราได้รับ

เรื่องเล่า 9x10 = 91 ของไอน์สไตน์จึงเป็นเครื่องเตือนใจให้เรา:

  1. เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์: ผู้คนอาจจำความผิดพลาดเล็กๆ ของเราได้แม่นยำกว่าความสำเร็จอันยิ่งใหญ่

  2. อย่าให้คำวิจารณ์บั่นทอน: เมื่อเราทำผิดพลาด จงเรียนรู้จากมัน แต่อย่าให้มันมาบั่นทอนกำลังใจในการทำความดีหรือสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ต่อไป

  3. โฟกัสที่การพัฒนา: แทนที่จะจมอยู่กับความผิดพลาด จงใช้มันเป็นแรงผลักดันให้พัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้น

สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าคุณจะทำอะไรในชีวิต จงจำไว้ว่าความพยายามและความมุ่งมั่นของคุณนั้นมีคุณค่า ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาปรบมือให้เสมอไป แค่คุณรู้ว่าคุณได้ทำดีที่สุดแล้ว นั่นก็เพียงพอแล้วครับ

*****************************
แนวคิดหลังจากได้ยินเรื่องนี้ครั้งแรกของผมคือ...
เชื่อคนใบ้หวยผิด 9ครั้ง ก็ยังคิดว่าตัวดวงไม่ดีพอ พอคนใบ้หวยให้ ถูกมา 1ครั้ง เชื่อใหญ่เลยว่าแม่นจริงๆ 

เอาเหอะความเชื่อที่พิสูจน์ไม่ได้ มันต่างจากคณิตศาสตร์ที่ผลมันต้องออกมาตรงกันเสมอ เอาเรื่องใบ้หวยมาเปรียบกันไม่ได้แต่แรกอยู่แล้วกับเรื่องบทเรียนนี้



วันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

 

Yupp.ai: ปลดล็อก AI ระดับโปรฟรี และสร้างรายได้จากฟีดแบ็กของคุณ!

หากคุณเป็นผู้ที่หลงใหลในโลกของปัญญาประดิษฐ์ (AI) และมองหาโอกาสในการทดลองใช้โมเดล AI ขั้นสูงโดยไม่ต้องควักกระเป๋าจ่าย Yupp.ai คือแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์คุณได้อย่างสมบูรณ์แบบ! ที่นี่ไม่ใช่แค่สนามเด็กเล่นสำหรับ AI แต่ยังเป็นประตูสู่การเข้าถึง AI ระดับพรีเมียม และโอกาสในการสร้างรายได้จากการมีส่วนร่วมของคุณ

Yupp.ai คืออะไร?

Yupp.ai คือแพลตฟอร์มเปรียบเทียบ AI แบบกระจายศูนย์ ที่รวบรวมโมเดล AI ชั้นนำกว่า 600+ โมเดล ไว้ในที่เดียว คุณจะได้พบกับ AI ยอดนิยมอย่าง ChatGPT, Claude, Gemini, Grok, DeepSeek, และ Llama รวมถึงโมเดลระดับมืออาชีพอีกมากมายที่ปกติแล้วต้องเสียค่าสมัครสมาชิกจากที่อื่น คุณสามารถทดลองใช้งานและเปรียบเทียบผลลัพธ์ของ AI เหล่านี้ได้อย่างอิสระและพร้อมกัน ทำให้เห็นความสามารถที่แตกต่างกันของแต่ละ AI ได้อย่างชัดเจน

จุดเด่นที่ทำให้ Yupp.ai น่าสนใจ

  • เข้าถึง AI ระดับโปรได้ฟรี: นี่คือหัวใจสำคัญของ Yupp.ai คุณสามารถใช้แต้มสะสมจากการมีส่วนร่วมของคุณ เพื่อ "ปลดล็อก" การเข้าถึง AI รุ่นใหม่ๆ หรือโมเดลที่ทรงพลังยิ่งขึ้น ซึ่งปกติแล้วต้องเสียค่าบริการ เพียงคุณมีแต้มเพียงพอ คุณก็สามารถสัมผัสประสบการณ์การใช้งาน AI ที่เหนือกว่าได้ทันที โดยไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม

  • เปรียบเทียบ AI ได้หลากหลาย ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย: แพลตฟอร์มนี้ออกแบบมาให้คุณสามารถป้อนคำสั่ง (prompt) เพียงครั้งเดียว และเห็นผลลัพธ์จากหลายโมเดล AI พร้อมกัน ทำให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างง่ายดายว่าโมเดลใดเหมาะสมกับความต้องการของคุณที่สุด ประหยัดทั้งเวลาในการค้นหาและค่าใช้จ่ายในการสมัครสมาชิกหลายแพลตฟอร์ม

  • สร้างรายได้จากการให้ข้อเสนอแนะ (Earn from Feedback): Yupp.ai มอบโอกาสให้คุณสร้างรายได้ด้วยการให้ฟีดแบ็กต่อผลลัพธ์ AI ที่คุณเปรียบเทียบ การเลือกคำตอบที่คุณชื่นชอบและให้เหตุผลสั้นๆ จะถูกแปลงเป็น แต้มสะสม ซึ่งมีมูลค่าเทียบเท่าเงินจริง

  • เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา AI: ฟีดแบ็กของคุณมีส่วนช่วยโดยตรงในการฝึกฝนและพัฒนาโมเดล AI ให้ฉลาดและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นผ่านกระบวนการ Reinforcement Learning with Human Feedback (RLHF)



                                        ตัวเลือกมากมาย มีคู่เทียบทีนิยมใช้กันเป็นแนวทาง

การจัดการแต้มและข้อควรระวัง

แต้มสะสมที่คุณได้รับ นอกจากจะนำไปใช้ปลดล็อก AI ระดับโปรแล้ว ยังสามารถถอนเป็นเงินสดผ่าน PayPal/Venmo หรือเหรียญคริปโต (Stablecoins บนเครือข่าย Base หรือ Solana) ได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม โปรดทราบว่าอัตราแลกเปลี่ยนแต้มอาจมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ คุณควรตรวจสอบอัตราในแพลตฟอร์ม ณ ปัจจุบันเสมอ ตัวอย่างอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันนี้:13/07/2025

  • 1,000 แต้ม Yupp Credit มีค่าประมาณ $0.20 USD หากจ่ายผ่าน PayPal/Venmo

  • 1,000 แต้ม Yupp Credit มีค่าประมาณ 0.2 USDC หากจ่ายผ่าน Base/Coinbase

  • 1,000 แต้ม Yupp Credit มีค่าประมาณ 0.000066698015 ETH หากจ่ายผ่าน Base/Coinbase

  • 1,000 แต้ม Yupp Credit มีค่าประมาณ 0.0000016819194 BTC หากจ่ายผ่าน Base/Coinbase


ข้อควรระวังสำคัญ: บางครั้งในระหว่างการใช้งาน AI อาจเกิดข้อผิดพลาด เช่น คำตอบค้างและหยุดไป ซึ่งอาจทำให้คุณเสียแต้มไปโดยเปล่าประโยชน์ หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ คุณควรเขียนรีวิวหรือกดให้คะแนนไม่ดี (Bad Rating) เพื่อรับแต้มรางวัลคืนได้ส่วนหนึ่ง นี่เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความคุ้มค่าในการใช้งานของคุณ

เริ่มต้นกับ Yupp.ai ได้อย่างไร?

การเริ่มต้นกับ Yupp.ai นั้นง่ายมาก เพียงแค่เข้าสู่เว็บไซต์ ป้อนคำสั่งของคุณ และเริ่มเปรียบเทียบผลลัพธ์จาก AI หลากหลายโมเดล ยิ่งคุณให้ฟีดแบ็กมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งมีโอกาสได้รับแต้มสะสมเพื่อใช้ปลดล็อก AI ระดับโปร หรือแลกเป็นรางวัลอื่นๆ ได้มากขึ้นเท่านั้น

มาร่วมสัมผัสประสบการณ์ AI เหนือระดับกับ Yupp.ai!

Yupp brings together ChatGPT, Claude, Gemini, Grok, and 600+ AI models for free—including many pro models that need subscription elsewhere. Use my link for a sign-up bonus:

เข้าร่วม Yupp.ai และรับโบนัสพิเศษ 

ขอบอกว่า ใช้หาข้อมูลดีมากครับ เพราะ สามารถเลือก 2-4 ตัวมาใช้ได้พร้อมกัน และสามารถเลือก โมเดล AI เด่นๆได้ ถึงจะเสียแต้ม แต่ก็ได้รับคืนง่ายๆครับ 

 

ควบคุม Windows Update และ Services เบื้องหลัง: ใช้งานเน็ตได้เต็มประสิทธิภาพ (Control Windows Update and Background Services: Maximize Internet Performance)

หลายคนคงเคยประสบปัญหาสัญญาณอินเทอร์เน็ตตก หรือรู้สึกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานช้าลงโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงเวลาสำคัญอย่างการเล่นเกม การทำงาน หรือการสตรีมมิ่ง คุณอาจกำลังถูก Services บางตัวของ Windows แย่งแบนด์วิดท์ไปโดยไม่รู้ตัว! บทความนี้จะมาช่วยให้คุณเข้าใจและ ควบคุม (Control) บริการเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้คุณได้ ใช้งานอินเทอร์เน็ตได้เต็มประสิทธิภาพ (Maximize Internet Performance) ที่สุด


สถานการณ์ที่คุณอาจเจอ (The Scenario You Might Face)

คุณกำลังสนุกกับการเล่นเกมออนไลน์อย่างไหลลื่น หรือทำงานสำคัญที่ต้องใช้ความเร็วอินเทอร์เน็ตสูง จู่ๆ ความเร็วก็ลดฮวบลงไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ เมื่อลองใช้โปรแกรมตรวจสอบการใช้งานเครือข่ายอย่าง NetBalancer ก็พบว่า Services บางตัวของ Windows เช่น wuauserv (Windows Update) และ BITS (Background Intelligent Transfer Service) กำลังมีการใช้งานอินเทอร์เน็ตในเบื้องหลังอย่างเงียบๆ และต่อเนื่อง ทำให้รู้สึกเหมือนถูกแย่งทรัพยากรการใช้งานเครื่องไปโดยปริยาย


เป้าหมายของการแก้ไขปัญหานี้ (The Goal of This Solution)

  • หยุด Services ที่ชอบดูดเน็ตอย่างไม่จำเป็น (Stop Unnecessary Bandwidth-Hogging Services): ปิดการทำงานของบริการเหล่านี้เมื่อไม่ต้องการใช้งาน

  • ควบคุมให้ระบบกลับมาทำงานเฉพาะช่วงที่ต้องการ (Control System to Work Only When Needed): เปิดใช้งาน Services เหล่านี้เมื่อคุณพร้อมให้ระบบอัปเดตหรือทำงานเบื้องหลัง

  • ลดผลกระทบต่อการเล่นเกม การทำงาน และการสตรีม (Reduce Impact on Gaming, Work, and Streaming): มั่นใจได้ว่าอินเทอร์เน็ตของคุณจะถูกใช้เพื่อกิจกรรมที่คุณต้องการเป็นหลัก


วิธีควบคุม Windows Update และ Services เบื้องหลัง (How to Control Windows Update and Background Services)

เราจะใช้ Batch File ซึ่งเป็นสคริปต์ง่ายๆ ที่ช่วยให้คุณสั่งการ Windows ได้อย่างรวดเร็วและสะดวกสบาย โดยไม่ต้องเข้าไปตั้งค่าในส่วนลึกของระบบ

ขั้นตอนที่ 1: สร้าง Batch File สำหรับ “หยุด” Services ที่ไม่ต้องการ (Step 1: Create a Batch File to "Stop" Unwanted Services)

ไฟล์นี้จะทำหน้าที่หยุดการทำงานของ Windows Update และ BITS เพื่อป้องกันไม่ให้ Services เหล่านี้ใช้อินเทอร์เน็ตโดยไม่ได้รับอนุญาต

วิธีทำ:

  1. เปิดโปรแกรม Notepad (ค้นหาในช่องค้นหาของ Windows ได้เลย)

  2. คัดลอกโค้ดด้านล่างนี้ไปวางใน Notepad:

    ข้อมูลโค้ด
    @echo off
    net stop wuauserv
    net stop BITS
    sc config wuauserv start= disabled
    sc config BITS start= disabled
    pause
    

    อธิบายโค้ด (Code Explanation):

    • @echo off: ปิดการแสดงคำสั่งใน Command Prompt เพื่อให้หน้าต่างดูสะอาดตา

    • net stop wuauserv: สั่งให้หยุดบริการ Windows Update

    • net stop BITS: สั่งให้หยุดบริการ Background Intelligent Transfer Service

    • sc config wuauserv start= disabled: กำหนดให้บริการ Windows Update ถูกปิดการใช้งาน (disabled) ในการเริ่มต้นระบบครั้งถัดไป หมายความว่าจะไม่ทำงานอัตโนมัติอีก

    • sc config BITS start= disabled: กำหนดให้บริการ BITS ถูกปิดการใช้งาน (disabled) ในการเริ่มต้นระบบครั้งถัดไปเช่นกัน

    • pause: หยุดหน้าต่าง Command Prompt ไว้ เพื่อให้คุณอ่านข้อความและกดปุ่มใดๆ เพื่อปิดได้

  3. บันทึกไฟล์ (Save As) โดยเลือก Save as type เป็น All Files (.) และตั้งชื่อไฟล์ว่า stop_update.bat (หรือชื่ออื่นที่คุณจำได้) จากนั้นกด Save คุณสามารถบันทึกไว้ที่ Desktop เพื่อให้เรียกใช้งานได้ง่าย

วิธีใช้งาน:

  • เมื่อคุณต้องการหยุด Windows Update และ BITS เพียงแค่ คลิกขวาที่ไฟล์ stop_update.bat แล้วเลือก Run as administrator (เรียกใช้ในฐานะผู้ดูแลระบบ)

  • หน้าต่าง Command Prompt จะปรากฏขึ้นและแสดงสถานะการหยุด Services หากสำเร็จจะไม่มีข้อความผิดพลาด

  • ข้อสังเกต (Note): หากมีข้อความว่า The Windows Update service could not be stopped. หรือ Service ยังคงทำงานอยู่ แสดงว่า Windows กำลังใช้งาน Service นั้นอย่างหนัก คุณอาจต้องลอง Run as administrator ซ้ำอีก 2-3 ครั้ง หรือใช้วิธีเสริมด้านล่าง

ขั้นตอนที่ 2: สร้าง Batch File สำหรับ “เปิดกลับ” Services เมื่อคุณพักใช้งาน (Step 2: Create a Batch File to "Restart" Services When You're Not Using Your PC)

ไฟล์นี้จะทำหน้าที่เปลี่ยนการตั้งค่าของ Services เหล่านี้ให้กลับมาทำงานได้ตามปกติ เช่น ในช่วงที่คุณพักผ่อน ปล่อยเครื่องทิ้งไว้ หรือนอนหลับ เพื่อให้ Windows สามารถอัปเดตระบบได้อย่างเหมาะสม

วิธีทำ:

  1. เปิดโปรแกรม Notepad อีกครั้ง

  2. คัดลอกโค้ดด้านล่างนี้ไปวางใน Notepad:

    ข้อมูลโค้ด
    @echo off
    sc config wuauserv start= demand
    sc config BITS start= demand
    net start wuauserv
    net start BITS
    pause
    

    อธิบายโค้ด (Code Explanation):

    • sc config wuauserv start= demand: กำหนดให้บริการ Windows Update กลับมาเป็นแบบ Manual (demand) คือจะทำงานเมื่อถูกเรียกใช้งานเท่านั้น ไม่ได้ทำงานอัตโนมัติตั้งแต่เปิดเครื่อง

    • sc config BITS start= demand: กำหนดให้บริการ BITS กลับมาเป็นแบบ Manual (demand)

    • net start wuauserv: สั่งให้ เริ่ม (start) บริการ Windows Update

    • net start BITS: สั่งให้ เริ่ม (start) บริการ BITS

    • pause: หยุดหน้าต่าง Command Prompt ไว้

  3. บันทึกไฟล์ (Save As) โดยเลือก Save as type เป็น All Files (.) และตั้งชื่อไฟล์ว่า start_update.bat จากนั้นกด Save

วิธีใช้งาน:

  • เมื่อคุณต้องการให้ Windows Update ทำงานได้ตามปกติ เพียงแค่ คลิกขวาที่ไฟล์ start_update.bat แล้วเลือก Run as administrator


แนวทางแก้ไขเพิ่มเติมเมื่อ Batch File ไม่สามารถหยุด Services ได้ (Additional Solutions When Batch File Fails to Stop Services)

บางครั้ง Services เหล่านี้อาจ "ดื้อ" และไม่ยอมหยุดง่ายๆ โดยเฉพาะเมื่อระบบกำลังประมวลผลการอัปเดตอย่างหนัก หาก net stop ไม่สำเร็จ ลองใช้วิธีเหล่านี้:

1. การหยุด Services ด้วย Process ID (PID) (Stopping Services Using Process ID)

วิธีนี้จะใช้ Command Prompt ในการบังคับปิด Process ของ Service โดยตรง

วิธีทำ:

  1. เปิด Task Manager (กด Ctrl + Shift + Esc หรือคลิกขวาที่ Taskbar แล้วเลือก Task Manager)

  2. ไปที่แท็บ Services

  3. เลื่อนหา Service ที่ชื่อว่า wuauserv (Windows Update) หรือ BITS (Background Intelligent Transfer Service)

  4. จดเลข PID ที่อยู่ข้างๆ ชื่อ Service นั้นๆ

  5. เปิด Command Prompt ในฐานะผู้ดูแลระบบ (ค้นหา "cmd" ในช่องค้นหาของ Windows คลิกขวาที่ "Command Prompt" แล้วเลือก Run as administrator)

  6. พิมพ์คำสั่ง: taskkill /f /pid [เลข PID]

    • ตัวอย่าง: หาก PID ของ wuauserv คือ 12345 ให้พิมพ์: taskkill /f /pid 12345

    • อธิบายคำสั่ง (Command Explanation):

      • taskkill: คำสั่งสำหรับหยุด Process

      • /f: บังคับให้หยุด Process ทันที (force)

      • /pid [เลข PID]: ระบุ Process ที่ต้องการหยุดด้วยหมายเลข Process ID

  7. กด Enter คุณจะเห็นข้อความยืนยันว่า Process ถูกหยุดแล้ว

2. การล้างโฟลเดอร์ SoftwareDistribution (Clearing the SoftwareDistribution Folder)

โฟลเดอร์ SoftwareDistribution เป็นที่เก็บไฟล์อัปเดตเก่าๆ และชั่วคราวของ Windows การล้างโฟลเดอร์นี้อาจช่วยแก้ไขปัญหาการอัปเดตที่ค้างหรือไม่สมบูรณ์ได้

วิธีทำ:

  1. สำคัญ! (Important!) ก่อนทำขั้นตอนนี้ ให้แน่ใจว่าได้หยุด Service wuauserv และ BITS แล้ว โดยใช้ Batch File stop_update.bat หรือวิธี PID ด้านบน

  2. เปิด Command Prompt ในฐานะผู้ดูแลระบบ (Run as administrator)

  3. คัดลอกและวางคำสั่งต่อไปนี้ทีละบรรทัด (หรือทั้งหมด) แล้วกด Enter หลังแต่ละบรรทัด:

    ข้อมูลโค้ด
    net stop wuauserv
    net stop bits
    rd /s /q %windir%\SoftwareDistribution
    net start wuauserv
    net start bits
    

    อธิบายคำสั่ง (Command Explanation):

    • net stop wuauserv: หยุด Windows Update service

    • net stop bits: หยุด Background Intelligent Transfer Service

    • rd /s /q %windir%\SoftwareDistribution: ลบโฟลเดอร์ SoftwareDistribution

      • rd: คำสั่งลบไดเรกทอรี (โฟลเดอร์)

      • /s: ลบโฟลเดอร์ย่อยและไฟล์ทั้งหมดภายใน

      • /q: ไม่ต้องถามยืนยันการลบ (quiet mode)

      • %windir%\SoftwareDistribution: พาธของโฟลเดอร์ SoftwareDistribution

    • net start wuauserv: เริ่ม Windows Update service ใหม่

    • net start bits: เริ่ม Background Intelligent Transfer Service ใหม่

    คำเตือน (Warning): การล้างโฟลเดอร์นี้จะทำให้ Windows Update ต้องดาวน์โหลดไฟล์อัปเดตทั้งหมดใหม่ ซึ่งอาจใช้เวลาและปริมาณข้อมูลอินเทอร์เน็ตมากในการดาวน์โหลดครั้งถัดไป ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง


สรุป (Conclusion)

จากการใช้งานจริง ผู้ใช้หลายคนพบว่าแม้ Services เหล่านี้จะ "ดื้อ" อยู่บ้าง แต่การใช้ Batch File และการรันซ้ำ 2-3 ครั้ง ก็สามารถหยุดการทำงานได้ตามต้องการ และรู้สึกพึงพอใจที่ได้ สิทธิ์ควบคุม (Full Control) การทำงานของระบบ Windows อย่างสมบูรณ์ ทำให้สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้เต็มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่สำคัญ!

การปรับแต่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณบริหารจัดการทรัพยากรเครือข่ายของคอมพิวเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้การเล่นเกม การทำงาน หรือการสตรีมมิ่งเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีสะดุดจาก Service ที่ทำงานเบื้องหลังโดยไม่จำเป็น


เพิ่มเติมข้อมูลเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง (Related Content)

  • Batch File คืออะไร? (What is a Batch File?): Batch File คือไฟล์สคริปต์ที่มีนามสกุล .bat ซึ่งประกอบด้วยชุดคำสั่งที่สามารถรันได้โดย Command Prompt ของ Windows มักใช้สำหรับงานอัตโนมัติหรือสั่งการระบบอย่างง่ายๆ

  • Services ใน Windows คืออะไร? (What are Services in Windows?): Services คือโปรแกรมที่ทำงานในเบื้องหลังโดยไม่มีส่วนติดต่อผู้ใช้โดยตรง มักจะเริ่มต้นพร้อมกับ Windows และทำงานต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนฟังก์ชันการทำงานต่างๆ ของระบบปฏิบัติการและแอปพลิเคชัน


ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง (Related Links)


หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์และช่วยให้คุณควบคุมการใช้งานอินเทอร์เน็ตบน Windows ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นนะครับ!

******
บทความนี้ส่วนหนึ่งมาจากความคับแค้นใจ เวลาเซอร์วิสทั้งสองตัวนี้ชอบทำงานขึ้นมาเอง ตอนกำลังเล่นเกม  เดิมทีต้องเรียก Task Mager>Services>Open Services จากนั้นต้องตามหา สองตัวนี้เพื่อมาเปลื่ยนการตั้งค่า แล้วกดหยุดการทำงาน ก็ไม่ค่อยจะหยุดในทันที หรือหยุดแล้วสักพักก็ทำงานใหม่อีก น่ารำคารมาก


วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

 

บทความ: โปรแกรมถอดเสียงจากวิดีโอเป็นตัวหนังสือฟรี พร้อมไทม์ไลน์: ทางเลือกออนไลน์และออฟไลน์

การแปลงเสียงพูดในวิดีโอให้เป็นข้อความเป็นสิ่งจำเป็นในหลายบริบท ไม่ว่าจะเป็นการสร้างคำบรรยาย (Subtitles), การทำบันทึกการประชุม, การถอดเทปสัมภาษณ์, หรือการสรุปบทเรียนจากวิดีโอ การมีไทม์ไลน์ของข้อความเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้สามารถอ้างอิงช่วงเวลาการพูดได้อย่างแม่นยำ บทความนี้จะนำเสนอโปรแกรมและวิธีการถอดเสียงจากวิดีโอที่สามารถใช้งานได้ฟรี ทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ พร้อมคำแนะนำในการใช้งานและข้อจำกัด


ส่วนที่ 1: โปรแกรม/บริการถอดเสียงจากวิดีโอพร้อมไทม์ไลน์ (ออนไลน์ ฟรี/มีข้อจำกัดฟรี)

โปรแกรมเหล่านี้เป็นที่นิยมและใช้งานง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ และต้องการความสะดวกสบายในการใช้งานโดยไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมซับซ้อน

  1. CapCut

    • มันคืออะไร: โปรแกรมตัดต่อวิดีโอที่มีฟังก์ชัน AI ในการถอดเสียงเป็นข้อความและสร้างคำบรรยายอัตโนมัติ ใช้งานง่ายและได้รับความนิยมอย่างมาก

    • สำหรับใคร: ผู้สร้างเนื้อหา (Content Creator), นักเรียน, นักวิจัย, หรือบุคคลทั่วไป

    • จะใช้งานได้อย่างไร: อัปโหลดวิดีโอของคุณไปยัง CapCut (มีทั้งเวอร์ชันบนเว็บและแอปมือถือ) จากนั้นเลือกฟังก์ชัน "สร้างคำบรรยายอัตโนมัติ" (Auto-subtitle) หรือ "ถอดเสียง" (Transcribe) โปรแกรมจะสร้างข้อความพร้อมไทม์ไลน์

    • ข้อจำกัดของระบบ: สามารถใช้งานได้บนอุปกรณ์ Windows, Mac, Android, iPhone และ Web Browser

    • มีค่าบริการหรือไม่: มีฟังก์ชันฟรีให้ใช้งาน และมีคุณสมบัติเพิ่มเติมที่ต้องสมัครสมาชิก (Premium)

    • ลิงก์ที่เกี่ยวข้อง: CapCut Website

  2. Transkriptor

    • มันคืออะไร: เครื่องมือถอดเสียงที่ขับเคลื่อนด้วย AI สามารถแปลงเสียงและวิดีโอเป็นข้อความได้อย่างแม่นยำสูง พร้อมการประทับเวลา

    • สำหรับใคร: นักเรียน, นักวิจัย, ผู้ที่ต้องถอดเสียงการประชุม, การสัมภาษณ์ หรือพอดแคสต์

    • จะใช้งานได้อย่างไร: อัปโหลดไฟล์วิดีโอของคุณไปยัง Transkriptor (ผ่านเว็บแอปพลิเคชันหรือแอปมือถือ) ระบบจะใช้ AI ในการถอดเสียง ระบุผู้พูด และสร้างข้อความพร้อมการประทับเวลา

    • ข้อจำกัดของระบบ: รองรับการถอดเสียงมากกว่า 100 ภาษา มีการประทับเวลาและระบุผู้พูด

    • มีค่าบริการหรือไม่: สามารถใช้งานฟรีสำหรับการถอดเสียงหรือวิดีโอที่มีความยาวไม่เกิน 5 นาที หากต้องการใช้งานเต็มรูปแบบจะต้องสมัครสมาชิก

    • ลิงก์ที่เกี่ยวข้อง: Transkriptor Website

  3. NoteGPT (เน้น YouTube)

    • มันคืออะไร: เครื่องมือออนไลน์ฟรีที่ช่วยแปลงวิดีโอ YouTube เป็นข้อความพร้อมการประทับเวลา และยังสามารถสรุปเนื้อหาได้ด้วย AI

    • สำหรับใคร: นักเรียน, นักวิจัย, ผู้สร้างเนื้อหา (YouTube Creator), หรือผู้ที่ต้องการสรุปและถอดเสียงวิดีโอจาก YouTube

    • จะใช้งานได้อย่างไร: คัดลอกลิงก์วิดีโอ YouTube มาวางใน NoteGPT แล้วกด "Generate" ระบบจะแปลงวิดีโอเป็นข้อความพร้อมการประทับเวลา

    • ข้อจำกัดของระบบ: เน้นการทำงานกับวิดีโอ YouTube เป็นหลัก ให้ความแม่นยำสูง

    • มีค่าบริการหรือไม่: มีเวอร์ชันฟรีให้ใช้งาน

    • ลิงก์ที่เกี่ยวข้อง: NoteGPT Website

  4. Any2Text

    • มันคืออะไร: ซอฟต์แวร์แปลงเสียงและวิดีโอเป็นข้อความออนไลน์ที่ไม่ต้องลงทะเบียน

    • สำหรับใคร: บุคคลทั่วไปที่ต้องการถอดเสียงไฟล์วิดีโอหรือเสียงอย่างรวดเร็ว

    • จะใช้งานได้อย่างไร: อัปโหลดไฟล์วิดีโอ (รองรับ MP4, MKV, FLV, AVI, MOV, WMV) หรือเสียงของคุณ จากนั้นคลิก "Transcribe" เมื่อถอดเสียงเสร็จสิ้น สามารถดาวน์โหลดเป็นไฟล์ DOCX, XLSX, SRT หรือ TXT ได้

    • มีค่าบริการหรือไม่: มีการทดลองใช้ฟรี และอาจมีค่าบริการสำหรับปริมาณการใช้งานที่มากขึ้น

    • ลิงก์ที่เกี่ยวข้อง: Any2Text Website


ส่วนที่ 2: โปรแกรมถอดเสียงแบบออฟไลน์ (ติดตั้งบนเครื่อง)

การถอดเสียงแบบออฟไลน์โดยใช้ AI ที่แม่นยำและฟรีทั้งหมดนั้นค่อนข้างจำกัด แต่มีทางเลือกที่สามารถทำได้ หากยินดีที่จะประนีประนอมในบางประเด็น

  1. VLC Media Player + oTranscribe (ถอดเสียงด้วยตนเองแบบออฟไลน์)

    • มันคืออะไร: VLC เป็นโปรแกรมเล่นมีเดียยอดนิยม ส่วน oTranscribe เป็นเว็บแอปพลิเคชันที่ออกแบบมาเพื่อช่วยในการถอดเสียงแบบแมนวล

    • สำหรับใคร: ผู้ที่ต้องการควบคุมกระบวนการถอดเสียงด้วยตนเอง, เน้นความเป็นส่วนตัวของข้อมูล, และต้องการทำงานแบบออฟไลน์โดยไม่มีข้อจำกัดด้านเวลา

    • จะใช้งานได้อย่างไร:

      • ติดตั้ง VLC Media Player: ดาวน์โหลดและติดตั้ง VLC บนคอมพิวเตอร์ของคุณ

      • การใช้งาน oTranscribe แบบออฟไลน์ (สำคัญมาก):

        1. เข้าถึง oTranscribe ออนไลน์ครั้งแรก: เปิดเว็บเบราว์เซอร์ของคุณ (Chrome, Firefox, Edge) และเข้าสู่เว็บไซต์ของ oTranscribe: oTranscribe Website

        2. รอให้โหลดหน้าเว็บจนเสร็จ: เมื่อหน้าเว็บโหลดเสร็จสมบูรณ์ เบราว์เซอร์จะเก็บข้อมูลของหน้าเว็บและไฟล์ JavaScript ที่จำเป็นไว้ในแคช (Cache) ของเครื่องคุณ

        3. ตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต: ตอนนี้คุณสามารถปิด Wi-Fi หรือถอดสาย LAN ออกจากคอมพิวเตอร์ได้เลย

        4. เปิด oTranscribe อีกครั้ง (แบบออฟไลน์): พิมพ์ otranscribe.com ในแถบที่อยู่ของเบราว์เซอร์อีกครั้ง หรือเปิดจากบุ๊กมาร์กที่คุณบันทึกไว้ เบราว์เซอร์จะโหลดหน้า oTranscribe จากแคชบนเครื่องของคุณ ทำให้สามารถใช้งานได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต

        5. อัปโหลดไฟล์วิดีโอ/เสียงใน oTranscribe: คลิกที่ปุ่ม "Choose audio or video file" (รูปไอคอนไฟล์) เพื่อเลือกไฟล์วิดีโอของคุณ (VLC และ oTranscribe ทำงานแยกกัน แต่คุณจะใช้ oTranscribe เป็นเครื่องมือพิมพ์และประทับเวลา)

        6. เริ่มถอดเสียง: เล่นวิดีโอใน VLC (หรือใน oTranscribe ถ้าไฟล์ไม่ใหญ่มาก) แล้วพิมพ์ข้อความลงในช่องของ oTranscribe ใช้คีย์ลัดที่ oTranscribe กำหนด (เช่น Esc เพื่อ Play/Pause, F1 เพื่อ Rewind, F2 เพื่อ Fast-forward) เพื่อควบคุมการเล่นวิดีโอให้ตรงกับการพิมพ์ของคุณ oTranscribe จะช่วยประทับเวลาให้โดยอัตโนมัติเมื่อคุณกด Pause

        7. บันทึกงาน: ข้อความจะถูกบันทึกอัตโนมัติในเบราว์เซอร์ของคุณทุกวินาที เมื่อเสร็จสิ้น คุณสามารถ Export งานออกมาเป็นไฟล์ข้อความ (Plain Text) หรือไฟล์ SubRip (SRT) ที่มีไทม์ไลน์ได้

    • ข้อจำกัด: ไม่ใช่การถอดเสียงอัตโนมัติ ต้องพิมพ์ด้วยตนเอง แต่เป็นวิธีฟรีและทำงานออฟไลน์ได้จริงโดยไม่มีข้อจำกัดด้านเวลา และไฟล์ข้อมูลของคุณจะอยู่บนเครื่องเท่านั้น (เน้นความเป็นส่วนตัว)

    • มีค่าบริการหรือไม่: ฟรีและเป็น Open Source

  2. การใช้ AI Transcription Models (สำหรับผู้มีทักษะทางเทคนิค)

    • มันคืออะไร: การดาวน์โหลดโมเดลปัญญาประดิษฐ์สำหรับการถอดเสียง เช่น Whisper ของ OpenAI มาติดตั้งและรันบนเครื่องของคุณเอง

    • สำหรับใคร: ผู้ที่มีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์และเขียนโปรแกรมได้ (เช่น Python) หรือยินดีที่จะเรียนรู้การติดตั้งและใช้งาน

    • จะใช้งานได้อย่างไร:

      • ติดตั้ง Python: ดาวน์โหลด Python เวอร์ชันล่าสุด

      • ติดตั้งไลบรารี Whisper: เปิด Command Prompt (Windows) หรือ Terminal (Mac/Linux) แล้วพิมพ์คำสั่ง:

        Bash
        pip install transformers torch openai-whisper
        

        (อาจต้องติดตั้ง ffmpeg เพิ่มเติมสำหรับการประมวลผลไฟล์มีเดีย: FFmpeg Website)

      • ดาวน์โหลดโมเดล Whisper: โมเดลจะถูกดาวน์โหลดโดยอัตโนมัติเมื่อคุณรันโค้ด Python ครั้งแรก (ต้องมีอินเทอร์เน็ตในการดาวน์โหลดครั้งแรกเท่านั้น) เลือกขนาดโมเดลที่ต้องการ เช่น "base", "medium", "large" (ขนาดใหญ่แม่นยำกว่า แต่ใช้ทรัพยากรเครื่องมากกว่า)

      • เขียนและรันโค้ด Python:

        โค้ด Python:

        
        import whisper
        
        # โหลดโมเดล (การโหลดครั้งแรกต้องใช้อินเทอร์เน็ต)
        # ตัวอย่าง: "base", "medium", "large"
        model = whisper.load_model("base") 
        
        # ระบุ path ของไฟล์วิดีโอ/เสียงของคุณ
        video_path = "C:/Users/YourUser/Videos/my_lecture.mp4" # แก้ไข Path ตามไฟล์ของคุณ
        
        # ทำการถอดเสียง (อาจใช้เวลานานขึ้นอยู่กับความยาวไฟล์และสเปกคอมพิวเตอร์)
        print("กำลังถอดเสียง... โปรดรอสักครู่")
        result = model.transcribe(video_path, word_timestamps=True) # word_timestamps=True เพื่อให้ได้ไทม์ไลน์
        
        # แสดงผลลัพธ์พร้อมไทม์ไลน์
        print("\nข้อความที่ถอดพร้อมไทม์ไลน์:")
        for segment in result["segments"]:
            start_time = segment["start"]
            end_time = segment["end"]
            text = segment["text"]
            print(f"[{start_time:.2f}-{end_time:.2f}] {text}")
        
        # ตัวอย่างการบันทึกเป็นไฟล์ SRT (คำบรรยาย)
        # ต้องติดตั้งไลบรารี srt: pip install srt
        try:
            import srt
            subs = []
            for segment in result["segments"]:
                subs.append(srt.Subtitle(index=len(subs)+1, 
                                        start=srt.timedelta(seconds=segment['start']), 
                                        end=srt.timedelta(seconds=segment['end']), 
                                        content=segment['text'].strip()))
            
            output_srt_path = video_path.replace(".mp4", ".srt").replace(".mov", ".srt") # เปลี่ยนนามสกุลไฟล์
            with open(output_srt_path, "w", encoding="utf-8") as f:
                f.write(srt.compose(subs))
            print(f"\nบันทึกไฟล์ SRT ที่: {output_srt_path}")
        except ImportError:
            print("\nไม่สามารถบันทึกเป็นไฟล์ SRT ได้: ติดตั้ง 'srt' library ก่อน (pip install srt)")
            

        อธิบายโค้ด:

        • import whisper: นำเข้าไลบรารี Whisper

        • model = whisper.load_model("base"): โหลดโมเดล AI "base" (ขนาดเล็กแต่ใช้งานได้ดี) เพื่อใช้ในการถอดเสียง การโหลดครั้งแรกจะดาวน์โหลดโมเดลมาเก็บไว้ในเครื่องคุณ และหลังจากนั้นสามารถใช้งานแบบออฟไลน์ได้

        • video_path = "...": เปลี่ยน Path นี้เป็นที่อยู่ของไฟล์วิดีโอของคุณ

        • model.transcribe(video_path, word_timestamps=True): คำสั่งนี้จะเรียกใช้โมเดล Whisper เพื่อถอดเสียงจากไฟล์วิดีโอที่ระบุ โดย word_timestamps=True จะสั่งให้โมเดลสร้างข้อมูลช่วงเวลาของแต่ละคำหรือประโยคที่ถอดออกมา

        • ส่วนของ for segment in result["segments"]: จะวนลูปเพื่อแสดงผลลัพธ์การถอดเสียง ซึ่งจะแบ่งเป็นช่วงเวลา พร้อมเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของแต่ละข้อความ

        • ส่วนท้ายเป็นโค้ดเพิ่มเติมสำหรับการบันทึกผลลัพธ์เป็นไฟล์ SRT ซึ่งเป็นรูปแบบไฟล์คำบรรยายมาตรฐาน (ถ้าต้องการใช้ ต้องติดตั้งไลบรารี srt เพิ่มเติม)

    • ข้อจำกัด:

      • ต้องใช้ทักษะทางเทคนิค: ไม่ใช่โปรแกรมสำเร็จรูปทั่วไป ต้องมีการติดตั้งและตั้งค่าด้วยตนเอง

      • ใช้ทรัพยากรเครื่องสูง: โดยเฉพาะโมเดลขนาดใหญ่ อาจต้องใช้ GPU เพื่อการประมวลผลที่รวดเร็ว หากใช้ CPU อาจใช้เวลานานมากสำหรับไฟล์ยาวๆ (เช่น วิดีโอ 30 นาทีขึ้นไป)

      • การดาวน์โหลดโมเดลครั้งแรกต้องออนไลน์: แต่หลังจากนั้นสามารถรันแบบออฟไลน์ได้


สรุปและคำแนะนำเพิ่มเติม:

หากคุณต้องการ "ฟรี + ติดตั้งบนเครื่อง + ออฟไลน์ + ไม่จำกัดเวลา" ตัวเลือกที่ตรงที่สุดคือการ ใช้ VLC Media Player คู่กับ oTranscribe และถอดเสียงด้วยตนเอง ซึ่งให้ความเป็นส่วนตัวสูงสุดและไม่มีข้อจำกัดด้านเวลา แต่ต้องใช้แรงงานคนในการพิมพ์

สำหรับผู้ที่พร้อมจะลงทุนด้านเวลาและความรู้ทางเทคนิคเล็กน้อย Whisper ของ OpenAI เป็นโซลูชัน AI ถอดเสียงแบบออฟไลน์ที่ฟรีและมีคุณภาพสูงมาก แต่ต้องใช้ทรัพยากรเครื่องพอสมควรและมีการตั้งค่าเริ่มต้นที่ต้องทำผ่านโค้ด

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์และช่วยให้คุณสามารถถอดเสียงจากวิดีโอได้อย่างที่ต้องการนะครับ!

***********************************************************************************
ปัญหาโค้ดยาวทะลุจอ เนื่องจากธีมที่ใช้อยู่ ไม่ได้ปรับแต่ง Code Container ใว้
ทำให้ไม่สามารถสร้างกรอป ครอบโค้ดได้ แล้วโค้ดที่นำมาจาก Gemini จะมี Syntax Highlighting อยู่ด้วย
การที่จะให้แสดงผลได้เช่นเดียวกัน ผมจำต้องปรับปรุงบล็อกนี้หลายอย่าง เนื่องจากไม่ชำนาน และอาจต้องแก้ไขรูปแบบบทความทั้งหมด จึงขอแสดงผมในรูปแบบนี้ ซึ่งสะดวกต่อผมเองมากกว่าครับแล้วมันก็ยังแสดงผลได้ครบถ้วนเช่นเดิม